แนวข้อสอบ
นักวิเคราะห์นโยบายและแผน
1. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของนโยบาย
ก. แนวทางในการบรรลุผล
ข. ขั้นตอนหรือแผนงาน
ค.ทุนที่ใช้ในการดำเนินการ
ง. เป็นองค์ประกอบของนโยบายทุกข้อ
ตอบ ง. ทุนที่ใช้ในการดำเนินการ
องค์ประกอบของนโยบายสาธารณะมีดังนี้
1. ต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ชัดเจน
2. ต้องประกอบด้วยลำดับขั้นตอนหรือแผนงานในการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ที่ได้กำหนดเอาไว้
3. ต้องมีลักษณะเป็นแนวทางหรือหลักการที่ประสงค์จะเป็นเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้ สามารถบรรลุผลสำเร็จลงได้
4. ต้องมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ฯลฯ
2. ข้อใดถูกต้อง
ก. Scientific Reasons : การนำไปใช้ในการแก้ปัญหาทางปฏิบัติ
ข. Professional Reasons : การเข้าใจเหตุผลของการตัดสินใจ
ค. Political Reasons : การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมให้บรรลุเป้าหมาย
ง. Policy Effects : ปัจจัยน้ำข้าวของนโยบาย เช่น ทรัพยากร
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ค. Political Reasons: การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมให้บรรลุเป้าหมาย
Thomas R.Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทำ หรือไม่กระทำ” โดยเขาได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลของการศึกษานโยบายไว้ ๓ ประการได้แก่
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons) คือ การทำความเข้าใจเหตุและผลของการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย
2. เหตุผลทางวิชาชีพ (Professional Reasons) คือ การนำความรู้เชิงนโยบายไปใช้ในการแก้ปัญหาทางด้านการปฏิบัติ
3. เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons) คือ การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมทางการเมืองมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง
3. ความสมเหตุสมผลทางด้านปัทสถานเกี่ยวข้องกับการวางแผนในเรื่องใด
ก. การวางแผนที่เน้นเนื้อหา
ข. การวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
ค. การวางแผนที่เน้นการควบคุม
ง. การวางแผนที่เน้นการมีส่วนร่วม
จ. การวางแผนที่เน้นผลลัพธ์
ตอบ ข. การวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
ทฤษฎีการวางแผนที่เน้นเนื้อหาสาระหรือทฤษฎีเชิงสาระ เป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระเฉพาะเรื่องที่จะนำมาวางแผนเป็นอย่างมากโดยมุ่งอธิบายรายละเอียดของปัญหาและการแก้ปัญหาที่เจาะลึกในแต่ละเรื่องโดยไม่สนใจเรื่องวิธีการเช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนทฤษฎีการวางแผนที่เน้นการตัดสินใจแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. การตัดสินใจแบบสมเหตุสมผลด้านการทำหน้าที่ ได้พัฒนาไปเป็นทฤษฎีเชิงกรรมวิธีซึ่งมุ่งอธิบายกระบวนการและการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน และต่อมาได้พัฒนาไปเป็นทฤษฎีการวางแผนที่เน้นกานนำนโยบายไปปฏิบัติ
2. การตัดสินใจแบบสมเหตุสมผลด้านปัทสถานได้พัฒนาไปเป็นทฤษฎีการวางแผนทางสังคมและการวางแผนสนับสนุน
4. ข้อใดถูกต้อง
ก. นโยบายสาธารณะได้มากจากการเจรจาต่อรองเกี่ยวข้องกับทฤษฎีสถาบันนิยม
ข. แนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองเกี่ยวข้องกับการวางแผนที่เน้นเนื้อหา
ค. ความสมเหตุสมผลทางด้านปัทสถานเกี่ยวข้องกับการวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
ง. ทฤษฎีเชิงกรรมวิธีต่อมาได้พัฒนาไปเป็นการวางแผนที่เน้นการนำนโยบายไปปฏิบัติ
จ. ข้อ ค. และ ข้อ ง. ถูก
ตอบ จ. ข้อ ค. และ ข้อ ง. ถูก
คำอธิบายดังข้อข้างต้น
5. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. แผนงานเป็นตัวแปรที่ Cook & Scioll เสนอไว้ในตัวแบบของเขา
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติจะง่ายขึ้นในประเทศที่ปกครองแบบศูนย์รวมอำนาจ
ค. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวของกับการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน
ง. การจัดการศึกษานอกโรงเรียนเกี่ยวของกับนโยบายทางด้านการศึกษา
จ. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับการกินดีอยู่ดีของประชาชน
ตอบ ค. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวของกับการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน
นโยบายทางด้านเศรษฐกิจ (Econmomic Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยงข้องกับความอยู่ดี กินดีของประชาชน ให้ประชาชนได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไรที่ได้มาซึ่งรายได้ รายจ่าย ซึ่งเมื่อจ่ายไปแล้วมีการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ทำให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น การส่งเสริมอาชีพให้ประชาชน โครงการธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น
6. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาอยู่ในขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย
ข. การจัดทำร่างนโยบายอยู่ในขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย
ค. การกำหนดทางเลือกอยู่ในขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การตีความหรือแปลงนโยบายอยู่ในขั้นตอนการนำนโยบายไปปฏิบัติ
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ จ. ถูกทุกข้อ
ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย การพิจารณาปัญหานโยบาย (Policy Problem) หรือความต้องการของประชาชนที่จะนำมากำหนดเป็นนโยบาย การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา ส่วนขั้นตอนการประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation)
ประกอบด้วย
1. การกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน
2. การกำหนดเกณฑ์วัด และวิธีการตรวจสอบสิ่งที่ต้องการประเมิน
3. การกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลและวิธีการรายงาน
4. การนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
7. Pressman and Wildavsky ศึกษาเรื่องใด
ก. การปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข. การจ้างงานของชนกลุ่มน้อย
ค. การพัฒนาวิทยาลัยครูให้มาเป็นวิทยาลัยที่สมบูรณ์
ง. Catalytic Role Model
จ. โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาล
ตอบ ข. การจ้างงานของชนกลุ่มน้อย
Pressman and Wildavsky ได้เสนอผลงานวิจัยเรื่อง “Implementation” โดยมุ่งศึกษานโยบายการจ้างงานของชนกลุ่มน้อย แห่งนครโอคแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งผลงานวิจัยฉบับนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างเป็นระบบและเป็นจุดกำเนิดของวิชาการนำนโยบายไปปฏิบัติอีกด้วย
8. ใครพบว่า การแสวงหาผลประโยชน์เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวของการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ก. ธงชัย สมครุฑ
ข. ปิยวดี ภูศรี
ค. อาคม ใจแก้ว
ง. สากล จริยวิทยานนท์
จ. เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์
ตอบ จ. เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์
เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์ ได้ศึกษาเรื่อง “การปฏิบัตินโยบายสำหรับชายแดนภาคใต้: ศึกษืเท่านั้น แล้วผลการศึกษาในเรื่องนี้ ผู้วิจัยก็พบว่าการแสวงหาผลประโยชน์ เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดความล้มเหลวหรือความสำเร็จของนโยบายไปปฏิบัติ
9. ความสามารถในการผลิตหรือให้บริการ โดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ ข. ประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย โดยใช้ต้นทุนต่ำสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการ โดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด
10. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับนิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ความสามารถในการตอบสนอง หมายถึง ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบและค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่ต้องการทำให้กลุ่มที่มีความจำเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกก่อนนั้นเอง
11. ความสามารถในการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ จ. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ความพอเพียง หมายถึง ความสามารถในการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทั่วไปเงื่อนไขทางทรัพยากรมักจะวัดในรูปของงบประมาณที่มีอยู่
12. การนำเกณฑ์อื่น ๆ มาพิจารณาพร้อม ๆ กัน เกี่ยวข้องกับเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ ค. ความเหมาะสม
ความเหมาะสม หมายถึงการพิจารณาคุณค่าและความเหมาะสมของเป้าหมายของทางเลือกที่กำหนดไว้ โดยการนำเกณฑ์อื่น ๆ หลายเกณฑ์มาพิจารณาพร้อมๆ กัน
13. ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ ก. ประสิทธิผล
ประสิทธิผล หมายถึง ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการได้ครบถ้วนตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
14. Thomas R.Dye มีความสำคัญต่อวิชานโยบายสาธารณะอย่างไร
ก. ให้ความหมายของนโยบายสาธารณะ
ข. ให้เหตุผลในการกำหนดนโยบาย
ค. ศึกษาเรื่องการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ ก. ให้ความหมายของนโยบายสาธารณะ
15. Harold Lasswell มีความสำคัญต่อวิชานโยบายสาธารณะอย่างไร
ก. ศึกษาเรื่องการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ข. ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
ค. ให้เหตุผลในการกำหนดนโยบาย
ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ ข. ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
Harold Lasswell เป็นผู้เสนอแนวคิดเรื่องนโยบายศาสตร์ (Policy Sciences ) และได้รับการยกย่องว่า เป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” เนื่องจากเป็นผู้ที่ผสมผสานแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และสังคมศาสตร์เข้าด้วยกัน
16. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะหมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระทำ เช่น การบริการสาธารณะ
ก. Ira Sharkansky
ข. Theodore Lowi
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ก. Ira Sharkansky
Ira Sharkansky กล่าวว่า นโยบายสาธารณะหมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระทำ เช่น การบริการสาธารณะ การควบคุมกิจกรรมของบุคคล หรือธุรกิจของเอกชน เป็นต้น
17. ใครชี้ให้เห็นเหตุผลของการศึกษานโยบายไว้ 3 ประการ ได้แก่ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลทางวิชาชีพ และเหตุผลทางการเมือง
ก. Ira Sharkansky
ข. Theodore Lowi
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ง. Thomas R.Dye
18. ใครเสนอให้จำแนกนโยบายตามเนื้อหาสาระของนโยบาย
ก. Ira Sharkansky
ข. Theodore Lowi
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ข. Theodore Lowi
Theodore Lowi และ Frank Frohock เสนอให้จำแนกประเภทของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ประเภทดังนี้
1. Regulative Policy
2. Distributive Policy
3. Re- Distributive Policy
4. Capitalization Policy
5. Ethical Policy
19. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะหมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทำเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อแก้ปัญหา
ก. Ira Sharkansky
ข. Theodore Lowi
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ค. James Anderson
James Anderson กล่าวว่า นโยบายสาธารณะหมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทำเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเจตนาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ความยากจน การผูกขาด เป็นต้น
20. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและแจกแจงคุณค่า โดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคม
ก. Ira Sharkansky
ข. David Easton
ค. James Anderson
ง. Thomas R.Dye
จ. Harold Lasswell
ตอบ ข. David Easton
David Easton กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ ของสังคม โดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม
21. ใครศึกษาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลในระดับท้องถิ่น
ก. กรอสและคณะ
ข. กรีนวูด และคณะ
ค. เดล อิ ริชาร์ด
ง. เบอร์แมนและเมคลัฟลิน
จ. อิมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไตน์
ตอบ ข. กรีนวูด และคณะ
กรีนวูด และคณะ ได้ทำการศึกษาเรื่อง “Federal Programs Supporting Educational Change, Vol.lll:The Process of Change” ซึ่งเป็นการศึกษาถึงโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลในระดับท้องถิ่น
22. ใครศึกษานวัตกรรมการสอนแบบใหม่ โดยเน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าสาระ
ก. Gross, Glacquinta & Bernstein
ข. Berman & McLaughlin
ค. Greenwood & McLaughlin
ง. Dale E.Richards
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ก. Gross, Glacquinta
Gross, Glacquinta & Bernstein ได้ทำการศึกษาเรื่อง “Implementing Organizational
Innovations : A Sociological Analysis of Planned Education Change” ซึ่งเป็นการศึกษาในด้านการใช้นวัตกรรมการสอนแบบใหม่สำหรับครู โดยให้ครูดำเนินการสอนตามความสนใจของนักเรียน และเน้นที่กระบวนการการเรียนรู้ มากกว่าเนื้อหาสาระของบทเรียน ซึ่งเรียกตัวแบบนี้ว่า “Catalytic Role Model”
23. Gross, Glacquinta & Bernstein ศึกษาเรื่องอะไร
ก. การปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ข. การจ้างงานของชนกลุ่มน้อย
ค. การพัฒนาวิทยาลัยครูให้มาเป็นวิทยาลัยที่สมบูรณ์
ง. Catalytic Role Model
จ. โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาล
ตอบ Catalytic Role Model
คำอธิบายดังข้อข้างต้น
24. ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติประสบความสำเร็จ คือ
ก. วัตถุประสงค์ของนโยบายต้องชัดเจน
ข. มีส่วนร่วมของประชาชน
ค. มีทรัพยากรที่เพียงพอ
ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
ตอบ จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
ปัจจัยกำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการนำนโยบายไปปฏิบัติ มีดังนี้
1. ลักษณะของนโยบายนั้น ๆ
2. วัตถุประสงค์ของนโยบาย
3. ความเป็นไปได้ทางการเมือง
4. ความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี
5. ความพอเพียงของทรัพยากร
6. ลักษณะของหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
7. ทัศนคติของผู้ที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
8. กลไกภายในหน่วยงานหรือระหว่างหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
25. ปัจจัยที่จะทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติประสบความล้มเหลวคือ
ก. ลักษณะของนโยบายไม่ชัดเจน
ข. มีเทคโนโลยีที่เหมาะสม
ค. ผู้ปฏิบัติมีทัศนคติในการต่อต้านนโยบาย
ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
ตอบ จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
26. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการที่ Stuart S.Nagel เสนอไว้ในแนวคิดในการประเมินนโยบายของเขา
ก. การกำหนดเป้าหมายเพื่อบรรลุผล
ข. การกำหนดแผนงาน
ค. การกำหนดคน สถานที่ อุปกรณ์
ง. การวิเคราะห์ผลตอบแทนสูงสุด
จ. การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
ตอบ ข. การกำหนดแผนงาน
Stuart S.Nagel ได้เสนอแนวคิดในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบง่ายสำหรับการวิเคราะห์หรือ การประเมินนโยบาย ซึ่งมีกระบวนการที่สำคัญ 5 ขั้นตอนดังนี้
1. กำหนดเป้าหมายเพื่อการบรรลุผล หรือการให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด
2. กำหนดเป้าหมายสัมพันธ์
3. กำหนดคน สถานที่ หรือวัสดุอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับนโยบายนั้น ๆ
4. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
5. ปรับความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย กับนโยบาย
27. ข้อใดไม่ใช่การวิจัยปะเมินผล
ก. การวิเคราะห์เชิงสหวิทยาการ
ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
ค. การประเมินผลด้วยวิธีกึ่งทดลอง
ง. การประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง
จ. เป็นการวิจัยประเมินผลทุกข้อ
ตอบ ก. การวิเคราะห์เชิงสหวิทยาการ
การวิจัยประเมินผลมีวิธีการที่สำคัญ 3 รูปแบบคือ
1. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
2. การประเมินผลด้วยวิธีกึ่งทดลอง
3. การประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง
28. รูปแบบใดเป็นการแสวงหาข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เชื่อถือได้และแม่นตรงมากที่สุด
ก. การวิเคราะห์เชิงสหวิทยาการ
ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
ค. การประเมินผลด้วยวิธีกึ่งทดลอง
ง. การประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง
จ. จากการวิเคราะห์ต้นทุน – ผลประโยชน์
ตอบ ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
การวิจัยประเมินผลในรูปแบบทดลอง เป็น สองกลุ่มคือ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม 2. กำหนดเป้าหมายและหลักเกณฑ์ในการชี้วัดความสำเร็จ เพื่อใช้สำหรับทดสอบก่อนที่โครงการจะถูกนำมาใช้และทดสอบหลังจากที่โครงการสิ้นสุดลง 3. เลือกกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างจากประชากรที่อยู่ในเป้าหมายของโครงการ หลังจากนั้นจึงใช้วิธีการกระจายสุ่ม ของกลุ่มตัวอย่างในการจัดพื้นที่ทดสอบและพื้นที่ควบคุม ดังนั้นการประเมินผลด้วยวิธีนี้จึงถือเป็นเครื่องมือในการแสวงหาข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เชื่อถือได้ และแม่นตรงที่สุด
29. การกระจายสุ่ม (Randomization) ของกลุ่มตัวอย่างในการจัดตั้งพื้นที่ทดลองและพื้นที่ควบคุมเป็นสิ่งสำคัญในรูปแบบใด
ก. การวิเคราะห์เชิงสหวิทยาการ
ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
ค. การประเมินผลด้วยวิธีกึ่งทดลอง
ง. การประเมินผลด้วยวิธีเตรียมทดลอง
จ. จากการวิเคราะห์ต้นทุน – ผลประโยชน์
ตอบ ข. การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง
คำอธิบายดังข้อข้างต้น
30. การที่หน่วยงานนำนโยบายมาแปลงเป็นแผนงานและโครงการเป็นขั้นตอนใด
ก. การก่อตัวของนโยบาย
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
ค. การเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การอนุมัติและประกาศนโยบาย
จ. การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
ขั้นตอนการนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่แสดงให้เห็นถึงการนำทรัพยากรต่าง ๆ ไปจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดผลตามนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การส่งต่อนโยบาย (Policy Delivery)
2. การตีความหรือแปลงนโยบายออกเป็นแผนงานและโครงการ
3. การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย
4. การดำเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ (Streel-level Bureaucracy)
5. การจัดการและการสนับสนุน
6. การติดตามและการควบคุมผลการปฏิบัติงาน
31. การพิจารณาปัญหา หรือความต้องการของประชาชนอยู่ในขั้นตอนใด
ก. การก่อตัวของนโยบาย
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
ค. การเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การอนุมัติและประกาศนโยบาย
จ. การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ ก. การก่อตัวของนโยบาย
ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย การพิจารณาปัญหานโยบาย (Policy Problem) หรือความต้องการของประชาชนที่จะนำมากำหนดเป็นนโยบาย, การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา, ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ และการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา
ส่วนขั้นตอนการประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation) ประกอบด้วย
1. การกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน
2. การกำหนดเกณฑ์วัด และวิธีการตรวจสอบสิ่งที่ต้องการประเมิน
3. การกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลและวิธีการรายงาน
4. การนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
32. การจัดทำร่างนโยบายอยู่ในขั้นตอนใด
ก. การก่อตัวของนโยบาย
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
ค. การเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การอนุมัติและประกาศนโยบาย
จ. การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ ค. การเตรียมและเสนอนโยบาย
ขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย (Policy Formulation) เป็นขั้นตอนที่จะต้องมีการศึกษาค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายนั้น ๆ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การกำหนดวัตถุประสงค์
2. การกำหนดทางเลือก
3. การจัดทำร่างนโยบาย
ซึ่งประกอบด้วยด้วยหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ แนวทางและมาตรการ การจัดลำดับทางเลือก และการหาข้อมูลประกอบส่วนขั้นตอนการอนุมัติและประกาศนโยบาย (Policy Adoption) ประกอบด้วย การจัดวาระในการพิจารณานโยบาย การพิจารณาร่างนโยบาย การอนุมัติหรือไม่อนุมัติ และการประกาศนโยบาย
33. การจัดวาระในการพิจารณานโยบายอยู่ในขั้นตอนใด
ก. การก่อตัวของนโยบาย
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
ค. การเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การอนุมัติและประกาศนโยบาย
จ. การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ ง. การอนุมัติและประกาศนโยบาย
คำอธิบายดังข้อข้างต้น
34. การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาอยู่ในขั้นตอนใด
ก. การก่อตัวของนโยบาย
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
ค. การเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การอนุมัติและประกาศนโยบาย
จ. การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ ก. การก่อตัวของนโยบาย
ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย การพิจารณาปัญหานโยบาย (Policy Problem) หรือความต้องการของประชาชนที่จะนำมากำหนดเป็นนโยบาย, การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา, ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ และการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา
ส่วนขั้นตอนการประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation) ประกอบด้วย
1. การกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน
2. การกำหนดเกณฑ์วัด และวิธีการตรวจสอบสิ่งที่ต้องการประเมิน
3. การกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลและวิธีการรายงาน
4. การนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
35. การเปรียบเทียบผลการดำเนินตามนโยบายกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ก. การก่อตัวของนโยบาย
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
ค. การเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การประเมินผลนโยบาย
จ. การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ ง. การประเมินผลนโยบาย
James E.Anderson กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลการดำเนินการตามนโยบาย (การนำนโยบายไปปฏิบัติ) กับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ต้องกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอนของนโยบาย
36. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ “ความรู้ในการกำหนดนโยบายของรัฐ”
ก. ความรู้เกี่ยวกับการทำให้องค์การรัฐวิสาหกิจไม่ขาดทุน
ข. ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาบุคคลที่มาปฏิบัติหน้าที่
ค. ความรู้เกี่ยวกับการสร้างผลกำไรให้หน่วยงานโดยไม่สนใจประชาชน
ง. ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์การวางระบบของงาน
จ. ต้องใช้ความรู้ในการกำหนดนโยบายทุกข้อ
ตอบ ค. ความรู้เกี่ยวกับการสร้างผลกำไรให้หน่วยงานโดยไม่สนใจประชาชน
ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายของรัฐ มีดังนี้
1. ความรู้เกี่ยวกับการทำให้องค์การรัฐวิสาหกิจไม่ขาดทุน
2. ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาบุคคลที่มาปฏิบัติหน้าที่
3. ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์การวางระบบของงาน
4. ความรู้เกี่ยวกับการประสานการส่งข่าวสารหรือข้อมูลที่ถูกต้อง
37. การเปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตนโยบายมาสู้การศึกษากระบวนการนโยบายอยู่ในยุคใด
ก. ยุคเริ่มต้น
ข. ยุคพัฒนาให้เป็นศาสตร์
ค. ยุคการนำไปปฏิบัติให้บรรลุผล
ง. ยุคกึ่งกลางระหว่างเริ่มต้นและพัฒนา
จ. ในทุกยุค
ตอบ ค. ยุคการนำไปปฏิบัติให้บรรลุผล
ยุคการนำไปปฏิบัติให้บรรลุผล เป็นยุคที่แนวคิดในการวิเคราะห์นโยบายมีการเปลี่ยนแปลงจุดเน้นจากผลผลิตของนโยบาย (Policy Outpust) ไปสู่กระบวนการนโยบาย (Policy Process) มากขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการวิเคราะห์จากวิธีการเชิงปริมาณไปสู้วิธีการที่ผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพมากขึ้น
38. การนำศาสตร์ในหลาย ๆ สาขามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบายเป็นแนวโน้มในเรื่องใด
ก. แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า
ข. แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ
ค. แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบาย
ง. แนวโน้มเกี่ยวกับรูปแบบ
จ. แนวโน้มเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน
ตอบ ค. แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบาย
แนวโน้มการวิเคราะห์นโยบายที่เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายนั้น จะมุ่งเน้นการหาวิธีการที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณามิติทางการเมืองและการบริหาร และมีการนำศาสตร์ในหลาย ๆ สาขาวิชามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบายในลักษณะสหวิทยาการ เช่น เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น
39. ประเทศใดเป็นตัวแปรสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน
ก. จีน ข. ญี่ปุ่น
ค. สหภาพยุโรป ง. สหภาพยุโรป
จ. เกาลี
ตอบ ก. จีน
ปัจจุบันแนวโน้ม “ระบบภูมิภาคนิยม” มีอิทธิพลเพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ยังคงมีบทบาทต่อการจัดระเบียบเศรษฐกิจและสังคมโลกใหม่ และการเข้ามีสมาชิกขององค์การการค้าโลกนั้นจะทำให้จีนกลายเป็นตัวแปรสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคเอเชีย
40. สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในประเทศที่สำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศไทยคือ
ก. การรัฐประหาร พ.ศ. 2549
\ ข. การเสริมสร้างเอกลักษณ์ความเป็นไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ค. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทย
ง. การแพร่ระบาดของยาเสพติด
จ. กระแสวัตถุนิยมและบริโภคนิยม
ตอบ ก. การรัฐประหาร พ.ศ. 2549
41. ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีการค้าโลกในช่วงที่ผ่านมาลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นผลเนื่องมาจากสาเหตุสำคัญคือ
ก. แรงงานไทยไร้คุณภาพ
ข. ความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจไร้ประสิทธิภาพ
ค. ความล้าหลังในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ง. กฎ ระเบียบต่าง ๆ เป็นอุปสรรคในการบริหารการจัดการ
ตอบ ค. ความล้าหลังในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในช่วงที่ผ่านมานั้น พบว่า สมรรถนะทางเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีการค้าโลกได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนประสิทธิภาพการผลิตปรับตัวได้ช้า ทั้งนี้ก็เนื่องจากมาจากสาเหตุสำคัญในเรื่องความล้าหลังในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั่นเอง
42. “วิสัยทัศน์ร่วมของการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต 20 ปี” มีจุดมุ่งหมายหลักคือ
ก. การแก้ปัญหาความยากจนและยกระดับชีวิตของคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ข. การพัฒนาที่ยั่งยืน
ค. การพัฒนาแบบองค์รวม
ง. คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ จ. ถูกทุกข้อ
ในแผนพัฒนาฉบับที่ 9 ได้กำหนด “วิสัยทัศน์ร่วมของการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต 20 ปีข้างหน้า” ได้มีจุดมุ่งหมายหลักตามตัวเลือก1, 2, 3 และ4 นอกจากนี้ยังมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อการสร้างค่านิยมร่วมให้คนไทยตระหนักถึงความจำเป็นและปรับเปลี่ยนกระบวนการคิด ทัศนคติและกระบวนการทำงาน โดยยึด “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญานำทางเพื่อให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารจัดการประเทศแนวใหม่ที่มุ่งประสิทธิภาพ คุณภาพและก้าวตามโลกได้อย่างรู้เท่าทัน ฯลฯ
43. ยุทธศาสตร์การบริหารการจัดการที่ดีตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 คือ
ก. ภาครัฐมีขนาดและโครงสร้างที่เหมาะสม
ข. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดบริการสาธารณะและพัฒนารายได้ของตนเองเพิ่มขึ้น
ค. การมุ่งปราบปรามยาเสพติดทั่วประเทศ
ง. ให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
ตอบ ง. ให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
แผนพัฒนาฯ 11 ใช้แนวคิดที่ต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8-10 โดยยังคงยึดหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ให้ “คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” และ “สร้างสมดุลการพัฒนา” ในทุกมิติ
44. ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพคน ให้ความสำคัญกับเรื่องใด
ก. ให้คนมีคุณภาพ สุขภาพแข็งแรง คิดเป็น ทำเป็น
ข. ให้คนมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ค. เพิ่มระดับการศึกษาภาคบังคับ
ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
จ. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก
ตอบ ง. ข้อ ก. และ ข้อ ข. ถูก
ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพคนในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างคนให้มีคุณภาพ มีสุขภาพแข็งแรง เป็นคนเก่ง คนดี คิดเป็น ทำเป็น มีระเบียบวินัย มีความซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสามัคคีและรักชาติ ตลอดจนมีจิตสำนึกความเป็นไทย
45. ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 เน้นการพัฒนาคนและสังคมไทยสู่สังคมคุณภาพ มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ระดับ
ก. สังคม
ข. โรงเรียน
ค. ครอบครัว
ง. ชุมชน
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ ค. ครอบครัว การพัฒนาคนและสังคมไทยสู่สังคมคุณภาพ มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ระดับปัจเจก ครอบครัวและชุมชนสู่สังคมที่มีคุณภาพ สามารถจัดการความเสี่ยงและปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
๑.๑ การสร้างความเป็นธรรมในสังคม ให้ความสาคัญกับการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมให้ทุกคนในสังคมไทยสามารถเข้าถึงบริการทางสังคมที่มีคุณภาพมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานในการสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคง สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเ สมอภาคและสามารถดารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ภายใต้ระบบบริหารจัดการภาครัฐที่โปร่งใส ยึดประโยชน์ส่วนรวมและเปิดโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในกระบวนการพัฒนาประเทศ
๑.๒ การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้ความสาคัญกับการพัฒนาคุณภาพคนไทยทุกช่วงวัยให้มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง มีความพร้อมทั้งด้านร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีสติปัญญาที่รอบรู้ และมีจิตใจที่สานึกในคุณธรรม จริยธรรม มีความเพียร มีโอกาสและสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิต ควบคู่กับการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมในสังคมและสถาบันทางสังคมให้เข้มแข็งและเอื้อต่อการพัฒนาคน
46. การปฏิรูปการศึกษามีแนวทางอย่างไร
ก. พัฒนาครูและปรับปรุงกระบวนการผลิตครู
ข. ปรับปรุงหลักสูตรให้มีความหลากหลาย
ค. ผลิตนักวิจัยในสาขาที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ
ง. เสริมสร้างความพร้อมของสถาบันการศึกษา
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ จ. ถูกทุกข้อ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 มีแนวทางการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ดังนี้
1. พัฒนาครูและปรับปรุงกระบวนการผลิตครูที่มีคุณภาพและคุณธรรม
2. ปรับปรุงการจัดหลักสูตรให้มีความหลากหลายและยืดหยุ่น
3. ผลิตนักวิจัยในสาขาที่มีศักยภาพสูงและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ
4. เสริมสร้างความพร้อมของสถาบันการศึกษา ฯลฯ
47. การเตรียมความพร้อมและยกระดับฝีมือของคนไทยให้มีคุณภาพได้มาตรฐานมุ่งเน้นการผลิตกำลังคนระดับใด
ก. ระดับสูง ข. ระดับกลาง
ค. ระดับต่ำ ง. ระดับกลางและระดับต่ำ
จ. ทุกระดับ
ตอบ ข. ระดับกลาง
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 มีแนวทางการเตรียมความพร้อมและยกระดับทักษะฝีมือคนไทยให้มีคุณภาพสูง ได้มาตรฐานและสอดคล้องกับโครงสร้างการผลิตและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปประการหนึ่ง คือมุ่งเน้นการผลิตและพัฒนากำลังคนในระดับกลาง โดยผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น และความรู้พื้นฐาน รวมทั้งให้มีการขยายบริการการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานอย่างทั่วถึง
48. ต่อไปนี้เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท ยกเว้นข้อใด
ก. เพิ่มสัดส่วนงบประมาณสนับสนุนคนยากจนให้มากขึ้น
ข.การปฏิรูปกฎหมายและปรับปรุงระเบียบให้คนจนได้รับโอกาสมากขึ้น
ค. ให้คนยากจนมีโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างทั่วถึง
ง. นำหลักการและแนวคิดกระบวนการสหกรณ์มาใช้
จ. ปรับระบบการบริหารจัดการภาครัฐให้เอื้อต่อการสร้างโอกาสแก่คนยากจน
ตอบ ก. เพิ่มสัดส่วนงบประมาณสนับสนุนคนยากจนให้มากขึ้น
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 มีแนวทางการแก้ปัญหาความยากจนในชนบทดังนี้
1. นำหลักการและแนวคิดกระบวนการสหกรณ์มาใช้ โดยส่งเสริมการรวมกลุ่มของคนยากจนเป็นองค์กรชุมชน สหกรณ์เครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง
2. เสริมสร้างโอกาสให้คนยากจนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างทั่วถึงและสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
3. ปรับระบบการบริหารจัดการภาครัฐให้เอื้อต่อการสร้างโอกาสแก่คนยากจน
49. ข้อใดไม่ใช้ผลดีที่เกิดขึ้นตลอดแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1-10 ในด้านการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย
ก. มีจุดอ่อนในการควบคุม ขาดความโปร่งใส มีปัญหาทุจริต
ข. มีกฎหมายรับรองสิทธิของชุมชนในการดูแลทรัพยากรในพื้นที่
ค. มีข้อจำกัดของการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน
ง. มีความขัดแย้งระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
จ. ขาดการศึกษาวิจัยที่ได้มาตรฐาน
ตอบ ข. มีกฎหมายรับรองสิทธิของชุมชนในการดูแลทรัพยากรในพื้นที่
ผลการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยที่เกิดขึ้นตลอดในช่วง แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1-10 มีดังนี้
1. มีจุดอ่อนในการควบคุม ขาดความโปร่งใส มีปัญหาทุจริต และการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์
2. ไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิของชุมชนในการดูแลทรัพยากรในพื้นที่
3. มีข้อจำกัดของการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน
4. มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
5. ขาดการศึกษาวิจัยที่ได้มาตรฐาน ฯลฯ
50. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 เริ่มใช้เมื่อใด
ก. 1 ต.ค. 2555
ข. 1 ก.ค. 2555
ต. 1 ธ.ค. 2555
ง. 1 ม.ค. 2556
จ. 1 ต.ค. 2556
ตอบ ก. 1 ต.ค. 2555
ให้ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙
51. “หน่วยงานกลาง” มีบทบาทที่สำคัญในการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติหน่วยงานกลางได้แก่
ก. สำนักงบประมาณ
ข. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ค. กระทรวงการคลัง
ง. กระทรวงพาณิชย์
จ. กระทรวงมหาดไทย
ตอบ ก. สำนักงบประมาณ
แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 11 มีนโยบายในการเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานกลางในการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ โดยกำหนดให้ปรับปรุงบทบาทของหน่วยงานกลาง 5 หน่วยงาน คือ
1. สำนักงานคณะกรรมการทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2. สำนักงบประมาณ
3. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
4. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
5. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
52. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 มีเป้าหมายในด้านการพัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถในการแข่งขันโดย
ก. ให้ประเทศไทยพัฒนาเป็นแหล่งอุตสาหกรรมของโลก
ข. ให้ประเทศไทยพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลก
ค. ให้ประเทศไทยคงความเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของโลก
ง. ให้ประเทศไทยพัฒนาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาค
จ. ให้ประเทศไทยพัฒนาเป็นศูนย์กลางการเกษตรโลก
ตอบ ค. ให้ประเทศไทยคงความเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของโลก
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 มีเป้าหมายในด้านการพัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนี้
1. พัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถการแข่งขันในระดับประเทศ ระดับรัฐวิสาหกิจ และหน่วยผลิตพื้นฐานได้แก่ ให้ประเทศไทยคงความเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของโลก เป็นต้น
2. สร้างความเชื่อมโยงและความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจภายในและเศรษฐกิจระหว่าง ประเทศโดยการสร้างรากฐานและสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจเสรี
53. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 นับว่าเป็นแผนที่ดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศไทยเพราะเหตุใด
ก. ต้องเร่งฟื้นฟูทางเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะวิกฤติ
ข. ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกมากขึ้น
ค. ต้องพัฒนาสิ่งแวดล้อมในทุก ๆ ด้าน
ง. ต้องเร่งพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้จากเงินตราต่างประเทศ
จ. ต้องพัฒนาการศึกษาและคุณภาพชีวิตของคนชนบท
ตอบ ก. ต้องเร่งฟื้นฟูทางเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะวิกฤติ
ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ประเทศไทยได้ดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นขั้นตอน โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญดังนี้
1. เพื่อให้เกิดการบริหารการจัดการที่ดี
2. เพื่อสนับสนุนบทบาทการลงทุนของภาคีเอกชนที่คำนึงถึงประสิทธิภาพการให้บริการ
3. เพื่อลดภาระการลงทุนภาครัฐ
4. เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกที่จะได้รับบริการที่ดี มีคุณภาพมากขึ้น
55. แผนพัฒนาฉบับที่ 11 มีเป้าหมายในการพัฒนาประชากรกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ได้แก่
ก. เด็กที่อยู่ในภาวะยากลำบาก
ข. สตรีในธุรกิจบริการทางเพศ
ค. คนพิการ ผู้ถูกคุมประพฤติ และผู้ต้องขัง
ง. ผู้สูงอายุยากจนที่ไม่มีญาติหรือผู้เลี้ยงดู
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ จ. ถูกทุกข้อ
แผนพัฒนาฉบับที่ 11 มีเป้าหมายในการพัฒนาประชากรกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ได้แก่
1. กลุ่มเด็กที่อยู่ในภาวะยากลำบาก
2. กลุ่มเด็กและสตรีในธุรกิจบริการทางเพศและผู้ถูกประทุษร้าย
3. กลุ่มคนพิการ
4. กลุ่มผู้ถูกคุมประพฤติ และผู้ต้องขัง
5. กลุ่มผู้สูงอายุยากจนที่ไม่มีญาติหรือผู้เลี้ยงดู
6. กลุ่มคนยากจนในเมืองและชนบท
7. กลุ่มคนไทยต่างวัฒนธรรม
#คลิ๊กดูแนวข้อสอบราชการที่ www.โหลดแนวข้อสอบราชการ.com
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
โทร: 082-8551615 (คุณปาณิสรา)
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ )