ถาม – ตอบ
หลักความปลอดภัยในการทำงาน
1. การจำแนกจัดลำดับประเภทและชนิดของโรงงานอุตสาหกรรมตาม พรบ.โรงงานมีกี่หมวด
ตอบ 9 หมวด คือ
หมวด1. การผลิตอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ
หมวด2. การผลิตสิ่งทอ สิ่งถัก เครื่องแต่งกาย หนังสัตว์และผลิตภัณฑ์หนังสัตว์
หมวด3. การผลิตไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ รวมถึงเครื่องเรือน
หมวด4. การผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ การพิมพ์ การพิมพ์โฆษณา
หมวด5. การผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน ยาง พลาสติก
หมวด6. การผลิตผลิตภัณฑ์จากแร่อโลหะ ยกเว้นผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปิโตรเลียมและถ่านหิน เช่น แก้ว ปูน หิน
หมวด7. อุตสาหกรรมโลหะขั้นมูลฐาน เช่น ท่อเหล็ก เหล็กเส้น
หมวด8. อุตสาหกรรมการผลิต ผลผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ต่างๆ
หมวด9. อุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ เช่น เครื่องดนตรี เครื่องเขียน ร่ม เครื่องกีฬา
2. แนวโน้มของการประสบอันตรายจากการทำงานในสถานประกอบการในประเทศไทยเป็นอย่างไร
ตอบ - จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีตามจำนวนการเพิ่มขึ้นของผู้ปฏิบัติงาน
- กลุ่มผู้ประกอบอาชีพสำคัญมี 2 กลุ่มคือ ด้านอุตสาหกรรม และด้านเกษตรกรรม
- แนวโน้มของการประสบอันตรายจากการทำงานในสถานประกอบการในประเทศไทยดูได้จากสถิติด้านการประสบอุบัติเหตุของกองทุนเงินทดแทน
3. สาเหตุของการประสบอุบัติเหตุอันตรายเนื่องมาจากอะไร
ตอบ จำนวนสถานประกอบการที่เพิ่มขึ้น จำนวนผู้ปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น ชั่วโมงการทำงานเพิ่มขึ้น มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มผู้ปฏิบัติงานปรับตัวไม่ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆนั้น การเตรียมตัวของผู้ปฏิบัติงานไม่ดีพอ นายจ้างไม่สนใจในงานความปลอดภัย มีการรีบเร่งผลิตสินค้า ผู้ปฏิบัติงานมีเวลาพักผ่อนน้อย ภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมรัดตัว
4. นโยบายของหลักการจัดการความปลอดภัยในโรงงานต้องเป็นอย่างไร
ตอบ นโยบายด้านความปลอดภันที่เด่นชัด เป็นลายลักษณ์อักษร ครอบคลุม มีการประชาสัมพันธ์เข้าใจง่าย
5. การจัดองค์กร ด้านความปลอดภัยขึ้นอยู่กับอะไร
ตอบ ขนาด จำนวนพนักงาน ทัศนคติการสร้างเครือข่ายงานในรูปของคณะกรรมการด้านความปลอดภัย safety committee ที่มาจากแต่ละแผนก
6. บุคคลากร ที่ทำงานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
ตอบ ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสม มีความรู้ความสามารถ ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น ผ่านการอบรม มีวุฒิการศึกษา มีใบอนุญาต
7. การจัดการด้านสารเคมีในโรงงาน ต้องมีมาตรการอย่างไร
ตอบ การจัดการด้านสารเคมีในโรงงาน ต้องมีมาตรการควบคุมป้องกันที่ดี
- การจัดระบบคลังข้อมูลด้านสารเคมี ที่มีรายละเอียดการใช้การป้องกันเพียงพอ มีการปรับปรุงเสมอ
- การจัดการเกี่ยวกับการสัมผัสสารอันตรายที่เป็นพิษ ต้องจัดเก็บ-เคลื่อนย้ายตามมาตรฐาน
- ระบบการตรวจสอบและเฝ้าระวัง เช่นการติดตั้งเครื่องมือวัด เครื่องมือเตือนภัย มีการเก็บข้อมูลการตรวจวัดเป็นระบบ
8. การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงานด้านกายภาพ ควรทำอย่างไร
ตอบ 1.การป้องกันอันตรายจากเสียง มีการตรวจวัดเสียงภายในโรงงานและการได้ยินของผู้ปฏิบัติงานเป็นประจำ
2.การป้องกันอันตรายจากความร้อนและการแผ่รังสี มีการตรวจวัด หาจำนวนคนที่สัมผัสเพื่อควบคุมป้องกัน
9. จุดมุ่งหมายของโครงการป้องกันอุบัติเหตุจากการทำงานและเทคนิคความปลอดภัยในการทำงานคืออะไร
ตอบ 1. จัดสถานที่ทำงานให้ปลอดภัย 2. จัดระบบการทำงานให้ปลอดภัย
10. เทคนิคในการจัดระบบการทำงานให้ปลอดภัยมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.การออกแบบโรงงานหรือเครื่องจักรที่ปลอดภัย มึอุปกรณ์ป้องกัน มัพื้นที่หนีไฟ ดับไฟ
2.การเลือกทำเลสถานที่ตั้งโรงงานและการก่อสร้างตามแบบมาตรฐาน เดินทางสะดวก ไม่ก่อปัญหาต่อชุมชน
3.การวางแผนติดตั้งเครื่องจักรที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ ไม่ชิดกันเกินไป
4.การเลือกเครื่องมืออุปกรณ์ประกอบการทำงานได้เหมาะสมและปลอดภัย มีการอบรมการใช้งานและบำรุงรักษา
5.กำหนดการเกี่ยวกับการบำรุงรักษาโรงงาน เครื่องจักร อุปกรณ์อยู่เสมอต่างๆให้มีประสิทธิภาพ
6.ควบคุมสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดี เช่น มีการระบายอากาศ แสงสว่างเหมาะสม เสียงไม่ดังเกินไป
7.มีระบบการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานก่อนเข้าทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ คัดเลือกคนให้เหมาะกับงาน มีการส่งเสริมให้โต
8.ให้จัดระบบความปลอดภัยในโรงงานขึ้น มีนโยบายความปลอดภัยและกฎระเบียบในการทำงาน
9.วางแนวทางในการส่งเสริมความก้าวหน้าของผู้ปฏิบัติงาน
10.การบริหารหรือการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล มีการจัดระบบ การเลือกใช้ การบำรุงรักษา
11.เลือกใช้วิธีการที่ดีปลอดภัยที่สุดให้ผู้ปฏิบัติงาน และจัดทำเป็นคู่มือการปฏิบัติงาน
12.มีการทบทวนวิธีการทำงานเป็นประจำ มีการปรับปรุงวิธีการทำงาน มีการลดการใช้สารพิษ มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วย
13.ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการรายงานผล มีการสร้างเครือข่ายความปลอดภัย
11. วิธีการจำแนกหรือสืบค้นหาสาเหตุของอุบัติเหตุทำได้อย่างไร
ตอบ 1.การตรวจสอบสถานที่หรือโรงงาน
2.การสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ปฎิบัติงาน
3.ให้ผู้อื่นเข้ามาตรวจสอบ
4.การวิเคราะห์งานเพื่อความปลอดภัย
5.การศึกษาเกี่ยวกับสภาพอันตรายในระบบการผลิต
12. แผนในการควบคุมกำจัดหรือหาทางลดอันตรายมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.แผนการควบคุมป้องกันระยะสั้น คือมาตรการเร่งด่วนใช้ชั่วคราว
2.แผนการควบคุมป้องกันระยะยาว คือมาตรการถาวรที่ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ
13. การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาพิจารณาจากปัจจัยใด
ตอบ 1.ขนาดของปัญหา
2.ความรุนแรงของปัญหา
3.ความยากง่ายในการแก้ปัญหา
4.ความต้องการของชุมชนหรือโรงงาน
14. การทำโครงการด้านความปลอดภัยของสถานประกอบการให้สำเร็จมีกี่ระดับ อะไรบ้าง
ตอบ 2 ระดับ คือ
1.ระดับชาติ จะประกอบด้วย รัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้าง
2.ระดับโรงงาน จะประกอบด้วย ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน และสถานที่ทำงาน
15. หน้าที่ของฝ่ายบริหารในโครงการด้านความปลอดภัยคือ
ตอบ 1.ต้องกำหนดนโยบายด้านความปลอดภัย
2.จัดสภาพแวดล้อมให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้อย่างดี มีประสิทธิภาพ และถูกต้องตามกฎหมายบังคับ
3.มีการกระจายอำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบด้านความปลอดภัย
4.จัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ตามคุณสมบัติของกฏกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับ จป.
5.จัดให้มีการศึกษา การฝึกอบรมและสัมมนาด้านความปลอดภัย
6.จัดการตรวจโรงงานด้านความปลอดภัยเป็นประจำ
7.ให้ความสนับสนุนกิจกรรมต่างๆด้านความปลอดภัย เช่น งบประมาณ
8.ติดตามผลงานด้านความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ
16. แนวทางการจัดการสภาพแวดล้อมและควบคุมจุดอันตรายในสถานประกอบการ มีอะไรบ้าง
ตอบ 1.การควบคุมที่ตัวเครื่องจัรหรือแหล่งกำเนิดที่เป็นอันตราย ได้แก่
1.1.จัดหาอุปกรณ์ป้องกันอันตราย และต้องไม่เป็นตัวลดประสิทธิภาพในการทำงาน
1.2.จัดความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโรงงาน
1.3.การขนย้ายวัสดุอุปกรณ์ต่างๆต้องทำอย่างปลอดภัย
1.4.มีโปรแกรมการบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์
1.5.การดูแลเครื่องจักร มีการติดตั้งสายดิน
1.6.ดูแลพื้นโรงงานให้สะอาด ปลอดภัย
2.การกำจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย มักคุมที่แหล่งกำเนิด ที่ทางผ่าน และที่ตัวผู้ปฏิบัติงาน ได้แก่
2.1.การควบคุมมลพิษและสารเคมีเป็นพิษต่างๆที่ถูกปล่อยออกจากกระบวนการผลิต ต้องศึกษาให้ละเอียดก่อนการวางแผนการควบคุม
2.2.การควบคุมสิ่งแวดล้อมทางด้านกายภาพ เช่น ความร้อน แสง เสียง ความสั่นสะเทือน การแผ่รังสี
2.3.การควบคุมสภาพการทำงานให้เอื้ออำนวยต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2.4.การควบคุมสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น การติดเชื้อ
17. หลักการจัดการด้านผู้ปฏิบัติงานให้ปลอดภัยคือ
ตอบ 1.การคัดเลือกผู้ปฏิบัติงานให้เหมาะกับงานที่ถนัด มีการตรวจสุขภาพก่อนทำงาน
2.มีการสับเปลี่ยนโยกย้ายงาน เพื่อความเหมาะสม ไม่เกิดการเบื่อ หรือเพื่อลดการสะสมปริมาณสารในร่างกาย
3.มีการกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานได้ตื่นตัวเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน อย่างต่อเนื่องและมีส่วนร่วมในกิจกรรม
4.การฝึกอบรมด้านความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงาน ควรมีเป้าหมายในการฝึกอบรมเพื่อนำไปสู่กระบวนการที่ต่อเนื่องกันจนบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการที่วางไว้
18. อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากเครื่องจักร หมายถึง
ตอบ สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เครื่องจักรมีลักษณะหรือคุณสมบัติที่ปลอดภัยต่อการปฏิบัติงานปกติโดยไม่มีผลต่อสมรรถนะในการทำงาน
19. หน้าที่ของอุปกรณ์ป้องกันอันตรายคือป้องกันอันตรายจากอะไรบ้าง
ตอบ - จากการสัมผัสกับส่วนของเครื่องจักรที่กำลังทำงาน เช่น สายพาน เฟือง
- จากกระบวนการผลิตต่างๆ เช่น มีวัสดุกระเด็นจากการหลอม เจียระไน เจาะ
- จากความบกพร่องของเครื่องจักร เช่น ระบบสายไฟชำรุด
- ป้องกันจากความบกพร่องพลั้งเผลอ เหนื่อยล้าของผู้ปฏิบัติงาน
20. เครื่องจักรมีกี่ประเภท
ตอบ 4 ประเภท คือ
1.เครื่องต้นกำลัง เช่น เครื่องยนต์ หม้อไอน้ำ
2.เครื่องส่งกำลัง คืออุปกรณ์ที่ใช้ส่งผ่านกำลังจากเครื่องต้นกำลังไปใช้งาน เช่น เพลา สายพาน โซ่ เฟือง ท่อลมอัด
3.เครื่องจักรทำการผลิตผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องเจาะ เครื่องอัด เครื่องใส
4 ประเภทเครื่องจักรตามลักษณะของการทำงานและการเคลื่อนไหว ที่เป็นสาเหตุของอันตรายต่างๆ
21. หลักเกณฑ์ในการออกแบบอุปกรณ์ป้องกันอันตราย ได้แก่
ตอบ 1.ป้องกันการสัมผัสกับจุดอันตรายของเครื่องจักร
2.มีความมั่นคงแข็งแรง
3.ต้องปลอดภัยและอำนวยต่อการหล่อลื่นและการตรวจซ่อม
4.ไม่เป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายอย่างใหม่
5.ต้องไม่ขัดขวางต่อการปฏิบัติงาน
6.สามารถป้องกันอันตรายให้กับผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกับเครื่องจักร
7.เป็นไปตามกฏหมายบังคับ
22. วัสดุที่ใช้ในการสร้างอุปกรณ์ป้องกันอันตราย ได้แก่
ตอบ 1.โลหะ นิยมใช้มากที่สุด แข็งแรงทนทาน เช่น เหล็กแผ่น เหล็กเจาะรู อลูมิเนียม
2.แก้วหรือพลาสติก ใช้เมื่อต้องการมองเห็นการทำงานของเครื่องจักร
3.ไม้ ไม่นิยมใช้นัก เพราะถ้าแตกหักจะกระเด็นถูกทำให้บาดเจ็บ ไม่แข็งแรง ควรหนาไม่ต่ำกว่า1 นิ้วการเลือก
ต้องมีน้ำหนักเบา ไม่เป็นสนิม อายุใช้งานนาน แข็งแรงทนทาน ไม่ติดไฟ ไม่นำไฟฟ้า จัดหาได้ง่าย ราคาถูก
23. อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากเครื่องจักรมีอะไรบ้าง
ตอบ 7.1.อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากเครื่องจักรชนิดอยู่กับที่ fixed guard มักทำด้วยโลหะ
7.2.อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากเครื่องจักรชนิดอินเตอร์ล็อค interlocked guard
7.3.อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากเครื่องจักรชนิดอัติโนมัติ
7.4.อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากเครื่องจักรชนิดการใช้ก้านหรือแขนนิรภัย sweep-device
7.5.อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากเครื่องจักรชนิดอื่นๆ ไม่ใช่เครื่องมือป้องกันอันตรายแต่เป็น
อุปกรณ์-เครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานด้วยความปลอดภัยยิ่งขึ้น
24. หลักการตรวจสอบอุปกรณ์ป้องกันอันตรายมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.ตรวจสอบการทำงานของกลไก
2.ตรวจสอบการชำรุดของอุปกรณ์ป้องกันอันตราย
3.ตรวจสอบการหล่อลื่น
25. การบำรุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายควรทำอย่างไร
ตอบ 1.ทำความสะอาด และ หยอดสารหล่อลื่นในส่วนเคลื่อนไหว
2.ทาสารป้องกันการกัดกร่อน
3.ถ้าชำรุดต้องซ่อมแซมแก้ไข หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่
26. หม้อไอน้ำ มีกี่ประเภท
ตอบ 1.แบบ fire tube boilers ขนาดจะไม่ใหญ่เกินกว่า 16 t/h ความดันสูงสุดไม่เกิน 250 lb/in2
2.แบบ water tube boilers มีทั้งแบบท่อขวางและท่องอบางส่วน ขนาด 0.25 t/h - 150 t/h ความดันสูงสุดถึง 5000 lb/in2
3.แบบ special boiler เช่น หม้อไอน้ำไฟฟ้า
27. อุปกรณ์ความปลอดภัยของภาชนะรับความดัน ( 7 ชนิด) ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ - ลิ้นนิรภัย ควรตั้งสูงกว่าความดันใช้งาน 5 - 10 ปอนด์
- มาตรวัดความดัน สเกลสูงสุดไม่ควรเกิน 2 เท่าของความดันใช้งาน
- วาล์วรับไอน้ำ
- วาล์วลดความดัน ลดความดันไอน้ำให้เหมาะกับการใช้งานของภาชนะความดัน สามารถปรับแต่งความดันใช้งานได้
- วาล์วระบายไอน้ำ ระบายไอน้ำออกจากภาชนะความดัน
- วาล์วถ่ายน้ำ blowdown ระบายน้ำคอนเดนเสทออกเพื่อลดการกัดกรอนและรักษาประสิทธิภาพของภาชนะรับความดัน
- ที่ล็อคฝา
28. อุปกรณ์ความปลอดภัยของภาชนะบรรจุก๊าซ ( 4 ชนิด) ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ- อุปกรณ์นิรภัยแบบระบาย ระบายความดันออกจากภาชนะบรรจุก๊าซ
- ลิ้นนิรภัย มักใช้กับถังปิโตรเลียมเหลวทั้งขนาดเล็ก-ใหญ่ และถัง แอมโมเนีย
- ฝาครอบปะทุเป็นฝาครอบโลหะปิดที่ช่องระบาย จะแตกเมื่อความดันเกิน ใช้ได้ครั้งเดียว มักใช้ในท่อบรรจุ N2,O2
- จุกหลอมละลาย เมื่อได้รับความร้อนสูงจะหลอมละลายและระบายก๊าซออก
- วาล์วจ่ายและบรรจุใช้จ่ายและเติมก๊าซเข้า
- มาตรวัดความดัน ใช้กับภาชนะบรรจุขนาดใหญ่
- วาล์วถ่าย ติดด้านล่างสำหรับระบายน้ำและสิ่งสกปรกด้านล่างออก
29. มาตรการป้องกันอันตรายจากภาชนะรับวามดันและภาชนะบรรจุก๊าซมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.การเลือกใช้ทั้งของเก่า-ของใหม่ ต้องมีมาตรฐานรับรองการผลิต การออกแบบ การใช้วัสดุมีอุปกรณ์ความปลอดภัยถูกหลักวิชาการ บริษัทผู้ผลิต ต้องมีผลงานด้านนี้มีวิศวกรควบคุมการผลิต มีการทดสอบการอัดน้ำและเอกสารรับรอง
2.การติดตั้ง สถานที่ต้องเหมาะสม มีอุปกรณ์ดับเพลิงติดตั้งใกล้ๆ ช่วยลดความรุนแรงเสียหายได้
3.การใช้งานและการบำรุงรักษา ห้ามใช้งานสูงกว่าความดันที่กำหนด ห้ามใช้งานใกล้แหล่งความร้อน-กัดกร่อน มีการตรวจเป็นระยะ
4.ตรวจสอบความปลอดภัยในการใช้งาน เป็นมาตรการป้องกันอันตรายที่สำคัญ ผู้ตรวจต้องมี
ความรู้
30. สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม(สมอ) กำหนดมาตรฐานภาชนะบรรจุก๊าซไว้อย่างไร
ตอบ 1.ภาชนะบรรจุก๊าซไวไฟหรืออันตราย เช่น ก๊าซปิโตรเลียม ต้องสร้างตามมาตรฐานที่กำหนด
2.ภาชนะบรรจุก๊าซบางชนิด เช่น ท่อออกซิเจน ท่อไนตรัสออกไซด์ ท่อไนโตรเจน กำหนดเป็นมาตรฐานไม่บังคับ
31. กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดให้หม้อไอน้ำที่อายุใช้งานเกินกี่ปีปีขึ้นไปต้องลดความดันใช้งานลง
ตอบ 10 ปีขึ้นไปหรือมีการเคลื่อนย้าย
32. เครื่องมือมือและเครื่องมือกลแบ่งได้กี่ประเภท
ตอบ 3 ประเภท ได้แก่
1.เครื่องมือ hand tool
2.เครื่องมือกลชนิดเคลื่อนย้ายได้ Portable power tool
3.เครื่องมือกล Machine tool
33. เครื่องมือ hand tool ได้แก่
ตอบ 1.1.เครื่องมือที่ใช้ตัดหรือเฉือน เช่น ตะไบ เลื่อยมือ ชุดทำเกลียว สิ่ว ขวาน
1.2.เครื่องมือที่ใช้แรงบิด เช่น ไขควง ประแจ คึม
1.3.เครื่องมือที่ใช้แรงกระแทก เช่น ค้อน
34. เครื่องมือกลชนิดเคลื่อนย้ายได้ Portable power tool ได้แก่
ตอบ 2.1.แบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เช่น สว่านมือ เลื่อยไฟฟ้า หินเจียระไน เครื่องขัดกระดาษทราย
2.2.แบบขับเคลื่อนด้วยลม เช่น หินเจียระไน ประแจลท ไขควง เครื่องกระแทกคอนกรีต
2.3.เครื่องเชื่อมโลหะ สำหรับเชื่อมต่อหรือตัดโลหะ
- เครื่องเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า arc welding
- เครื่องเชื่อมโลหะด้วยแก๊ส gas welding
35. เครื่องมือกล Machine tool ได้แก่
ตอบ 1.เครื่องมือกลใช้ในงานโลหะ มี 5 กลุ่มใหญ่คือ
- กลุ่มทำงานหมุนรอบตัวเอง ชิ้นงานจะหมุนรอบตัวเอง เศษโลหะจะมีขนาดใหญ๋ เช่น เครื่องกลึง
- กลุ่มทำงานเจาะหรือคว้านรู ชิ้นงานจะยึดแน่นอยู่กับที่เศษโลหะจะมีขนาดเป็นชิ้นหรือเส้นเล็กกว่า เช่น สว่านแบบแท่น
- กลุ่มงานกัด ชิ้นงานจะถูกยึดแน่นและเลื่อนหามีดกัด เศษโลหะจะเป็นผง เช่น เลื่อยวงเดือน เครื่องกัด
- กลุ่มงานไส ชิ้นงานจะเคลื่อนที่ไปมา เศษโลหะจะเป็นเส้นสั้นยาวขึ้นกับวัสดุ เช่น เครื่องเซาะร่อง เครื่องไส
- กลุ่มงานขัดหรืองานเจียระไน
- กลุ่มอื่นๆ เช่น เครื่องปั้มโลหะ บางชนิดจะรวมการทำงานผสมกัน 2 - 3 กลุ่มเข้าด้วยกัน
2.เครื่องมือกลใช้ในงานไม้
36. การเกิดอุบัติเหตุ-อันตรายจากการใช้เครื่องมือมีสาเหตุมาจากอะไร
ตอบ 1.เกิดจากความบกพร่องของเครื่องมือ-เครื่องมือกล
- ออกแบบไม่เหมาะสม ไม่สะดวก ไม่ปลอดภัย วัสดุไม่เหมาะสม ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ไม่มีสายดิน สภาพเครื่องมือชำรุด
2.เกิดจากการกระทำที่ไม่ปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน
- ใช้ไม่ถูกกับงาน ใช้เครื่องมือที่มีปลอดภัย ไม่มีสายดิน ไม่มีที่ป้องกัน ใช้อุปกรณ์ PPE ไม่เหมาะสมหรือไม่ใส่ ใช้อุปกรณ์ชำรุด ร่างกายไม่พร้อม ง่วงนอน เล่น ไม่ตรวจสอบดูแลเครื่องมือก่อน-หลังใช้ ใช้ความเร็วเครื่องมือมากเกินไป ไม่เก็บให้เรียบร้อย ทำงานในสถานที่เสี่ยง
3.เกิดจากสภาพแวดล้อมบริเวณทำงานที่ไม่ปลอดภัย ( สาเหตุทางอ้อม )
- เครื่องมือทำให้เกิดความร้อน เสียงดัง ฝุ่น สารพิษ จากการทำงาน ทำงานใกล้แหล่งไวไฟ-สารเคมี สภาพการทำงานไม่เหมาะ เช่น ต้องก้มทำงาน ที่ทำงานไม่มั่นคงแข็งแรงเช่น นั่งร้าน คับแคบ จัดวางเครื่องมือไม่เป็นระเบียบ
37. การบำรุงรักษา คือ
ตอบ การพยายามรักษาสภาพของเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆให้มีสภาพที่พร้อมจะใช้งานอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการซ่อมบำรุง
38. การบำรุงรักษามีความสำคัญอย่างไร
ตอบ 1.เพื่อให้เครื่องจักรทำงานอย่างมีประสิทธิผล Effectiveness ผลิตได้เต็มกำลังความสามารถ
2.เพื่อให้เครื่องจักรมีสมรรถภาพการทำงานสูง Performance มีอายุใช้งานยาวซึ่งคือกำไรที่เพิ่ม
3.เพื่อให้เครื่องจักรมีความเที่ยงตรงน่าเชื่อถือ Reliability ผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐาน
4.มีความปลอกภัย Safety
39. การผลิตที่มีประสิทธิภาพ คือ
ตอบ สามารถผลิตได้ทั้งปริมาณและคุณภาพตามที่วางไว้ซึ่งประกอบด้วย คน เครื่องจักร และวัตถุดิบ ที่มีความพร้อมและประสานกันตลอดเวลาสินค้าที่ผลิตมาได้มาตรฐานสามารถเป็นตัวชี้บ่งได้ว่าเครื่องจักรได้รับการบำรุงรักษาที่ดีมีความเที่ยงตรง (reliability)ไม่มีความคลาดเคลื่อ
40. การบำรุงรักษามีกี่ประเภท
ตอบ 2 ประเภท คือ
1.การบำรุงรักษาตามแผน Planned maintenance
2.การบำรุงรักษานอกแผน Unplanned maintenance มีปัญหามากกว่าเนื่องจากไม่มีการเตรียมตัว-วางแผนงานล่วงหน้า
41. การบำรุงรักษาที่ใช้อยู่เป็นประจำ มีกี่วิธี
ตอบ 4 วิธี คือ
1.การบำรุงรักษาประจำ Routine maintenance เป็นการตรวจสอบประจำวัน สัปดาห์ เดือน ปี เป็นงานไม่ซับซ้อนมากโดยผู้ผลิตหรือช่างซ่อม เช่น ทำความสะอาด ใส่น้ำมันหล่อลื่น ตรวจสิ่งผิดปกติ
2.การบำรุงรักษา/ตรวจซ่อมตามแผน Periodic scheduled repair ตามกำหนดเวลาที่วางไว้จากสภาพอายุใช้งานของเครื่อง
- 1.การซ่อมเล็กน้อย minor repair
- 2.การซ่อมปานกลาง Medium repair เป็นการซ่อมโดยฝ่ายซ่อมบำรุง เช่น การถอดเปลี่ยน การปรับ เวลาหยุดซ่อม down time ต้องไม่เกินตารางการซ่อมเครื่องจักรต้องใช้ได้ทันที
- 3.การซ่อมใหญ่ Major overhaul เป็นการกำหนดการวางแผนล่วงหน้า เป็นงานใหญ่ใช้คนมาก
3.การซ่อมฉุกเฉิน emergency maintenance
4.การซ่อมเพื่อดัดแปลง Recovery overhaul
42. จุดมุ่งหมายของการบำรุงรักษาที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม คืออะไร
ตอบ 1.ป้องกันการสูญเสีย จากเครื่องจักรขัดข้อง เดินไม่เต็มที่ ผลผลิตลดลง
2.เพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไม่ให้ต่ำลงจนขายไม่ได้ราคา ลูกค้าขาดความเชื่อมั่น
3.ควบคุมต้นทุนของผลิตภัณฑ์ไม่ให้เพิ่ม
4.ควบคุมการส่งมอบสินค้าผลิตภัณฑ์ ได้ตรงเวลา สร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้า ไม่ถูกปรับล่าช้า
5.ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บกับผู้ปฏิบัติงาน จากการชำรุดของเครื่องจักร
6.ลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเดินเครื่องจักรกล เช่น ไม่มีฝุ่นละออง ไอสารเคมีรั่วไหล
7.ประหยัดพลังงาน เช่น เกิดการเผาไหม้สมบูรณ์
8 อุบัติเหตุในงานบำรุงรักษา
43. การวางแผนการบำรุงรักษาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องเตรียมข้อมูลอะไรบ้าง
ตอบ 1.ผู้ปฏิบัติงาน จำนวน ความรู้ ประสบการณ์ ความชำนาญพิเศษ ใช้พนักงานหรือผู้รับเหมา
2.เครื่องจักรที่จะซ่อม ทราบประวัติ/ประวัติซ่อม จำนวน ขั้นตอนการทำงาน จุดชำรุด แบบแปลนเครื่อง คู่มือ แบบที่ตั้ง
3.รายละเอียดโรงงาน ระบบไฟฟ้า ไอน้ำ ลม น้ำ การยก-ขนถ่าย ขนาดพื้นที่ แปลนที่ติดตั้ง จุดควบคุม ทางเดิน
4.รายละเอียดการซ่อม ระบุจุด ชิ้นส่วน วิธรการถอดประกอบ ข้อห้าม ลักษณะเฉพาะ
5.รายละเอียดเครื่องมืออุปกรณ์ที่จะใช้ซ่อม จำนวน ขนาดถูกต้องเหมาะสมกับงาน ถ้าเครื่องมือเฉพาะต้องเตรียมล่วงหน้า
6.การจัดเตรียมอะไหล่ อุปกรณ์ซ่อมแซม เปลี่ยนหรือซ่อมตามแผน สามารถจัดเตรียมล่วงหน้าได้ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยน
7.ตารางกำหนดเวลาการซ่อม กำหนดวันเวลา เวลาที่ใช้ซ่อม
44. แนวทางการวางแผนการบำรุงรักษา มีอะไรบ้าง
ตอบ 1.แผนการพัฒนาการบำรุงรักษา
- วิเคราะห์ประเมินผลการซ่อมแต่ละเครื่องที่ผ่านมาว่าจุดใดเสียหายมากที่สุด และความถี่ในการเกิด
- ศึกษาและพัฒนาการวิธีการ เช่น การใช้วัสดุอื่นเพื่อเพิ่มอายุการใช้งาน
- ประเมินผลแก้ไขปรับปรุง เก็บข้อมูลเพื่อใช้พัฒนาต่อ
2.แผนการบำรุงรักษาระยะยาว = Preventive maintenance
3.แผนการบำรุงรักษาระยะสั้น = Productive maintenance , Total productive maintenance ,Break-down maintenance
45. หลักการควบคุมด้านการบำรุงรักษา ได้แก่
ตอบ 1.จัดองค์กรหน่วยงานรับผิดชอบ เพื่อตรวจสอบการดำเนินการ วิธีทำงาน ข้อมูลค่าใช้จ่าย ต้นทุนบำรุงรักษา
2.ใช้ระบบใบสั่งงานและบันทึกรายงานผล ใช้แบบฟอร์มมาตรฐาน เพื่อเก็บประวัติ หรือประสานงานกับหน่วยงานอื่น
3.การวิเคราะห์และวางแผน ประจำวัน สัปดาห์ เดือน ปี วางแผนหยุดซ่อมตามความถี่และอายุใช้งาน กำหนดเครื่องมือ คน
4.ควบคุมจำนวนช่างที่ปฏิบัติงาน จำนวนให้เหมาะกับปริมาณงาน
5.ทำโปรแกรมบำรุงรักษาเพื่อป้องกัน วางโปรแกรมให้เหมาะสมกับเวลา
6.ควบคุมสต๊อก กำหนดปริมาณสูงสุด-ต่ำสุดให้เพียงพอ
7.ควบคุมงบประมาณ ประจำวัน งบประจำปีประจำเดือนตามสถานการณ์ฉุกเฉินจำเป็น/เร่งด่วน
8.พัฒนาวิธีการทำงานและปรับปรุงเครื่องจักร ใช้เทคนิคที่มีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ทันสมัย
9.จัดการฝึกอบรม ให้เหมาะกับแต่ละระดับ เรียนรู้วิธีการใหม่ๆเพิ่มพูนประสิทธิภาพการทำงาน ความชำนาญ
46. ในการเคลื่อนย้ายมีปัจจัยต้องคำนึงคือ
ตอบ น้ำหนัก ขนาด รูปร่าง ลักษณะทางกายภาพเช่น ของแข็ง ก๊าซ มีคม ร้อน กรด ความถีในการเคลื่อนย้าย ระยะทางวัตถุประสงค์ สภาพเส้นทาง สิ่งกีดขวาง เส้นทางการเคลื่อนย้ายเช่น แนวระนาบ แนวดิ่ง เอียงทำมุมต่างๆ
47. สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดจากการเคลื่อนย้าย ได้แก่
ตอบ 1.ผู้ปฏิบัติงาน ไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน ไม่เข้าใจสภาพของวัสดุที่ทำการยก ไม่ทำตามกฏการยกเคลื่อนย้าย เช่น ขาดการตรวจสอบและบำรุงรักษา/ใช้ลวดสลิงที่ชำรุด ประมาท ชอบเสี่ยง ไม่เข้าใจสภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ-ร่างกาย
2.เครื่องจักร-อุปกรณ์เคลื่อนย้าย เช่น โซ่ ลวดสลิง ตะขอ ขาด/หลุด กระบอกไฮโดรลิครถยกแตก เบรคล้อรถชำรุด
3.วัสดุ-ภาชนะที่เคลื่อนย้าย เช่น กรด ไวไฟ น้ำหนักมาก มีคม ลื่น เปราะ
48. หลักการเคลื่อนย้ายวัสดุ ได้แก่
ตอบ 1.การวางแผนเคลื่อนย้ายวัสดุ
- วางแผนประสานงานร่วมกันทุกฝ่าย เช่น เส้นทางการเคลื่อนย้ายที่สั้น ปลอดภัย ประหยัด และจากที่ไหนไปเก็บยังที่ไหน
- กำหนดวิธีที่ชัดเจนว่าจะเคลื่อนย้ายอย่างไรด้วยอุปกรณ์อะไร
- มอบหมายผู้รับผิดชอบโดยตรงและมีการฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นๆ
2.ปฏิบัติการเคลื่อนย้ายอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
- ต้องปฏิบัติอย่างปลอดภัย อุปกรณ์ต้องบำรุงรักษาให้มีสภาพที่ดีพร้อมใช้หลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายหลายครั้ง
3.รู้จักใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เคลื่อนย้ายวัสดุ
- เลือกใช้เครื่องมืออุปกรณ์เฉพาะให้เหมาะกับงานนั้นๆ ช่วยกันทำเช่นช่วยกันยก2-3คน เปลี่ยนอุปกรณ์ให้ทันสมัย-รวดเร็วเช่น รถยกเปลี่ยนจากเครื่องยนต์เป็นไฟฟ้า ใช้อุปกรณ์ร่วมกันหลายชนิด
4.การประหยัด จากการทำงานให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กัน ลดความซ้ำซ้อนและการเสียเวลา
49. การยกถือแบกหามกล่องวัสดุอย่างปลอดภัยควรพิจารณาถึงอะไร
ตอบ 1.ผู้ปฏิบัติงาน มีรูปร่างเหมาะสม แข็งแรง ไม่มีปัญหาที่กล้ามเนื้อ กระดูกแขน เข่า ขา หลัง ยกหลังตรง วัสดุต้องไม่บังทิศทางหนัก/ยาวมากควรยก 2 คน ใส่อุปกรณ์ป้องกันเช่น ถุงมือ พิจารณาใช้เครื่องทุ่นแรงก่อน
2.ลักษณะและสภาพวัสดุที่เคลื่อนย้าย เช่น รูปร่างเป็นท่อ ถุง กล่อง กลม มีมุมหรือขอบแหลมคม เช่น กระจก วัสดุร้อนวัสดุไวไฟ สารเคมีอันตรายเช่น กรดด่าง สารทำละลาย
3.บริเวณที่เคลื่อนที่ผ่าน เช่น พื้นลื่น มีช่องเปิด มีน้ำขัง ทางเดินมีสิ่งกีดขวาง มีแหล่งความร้อนหรือประกายไฟกรณีเคลื่อนย้ายสารไวไฟ มีรถวิ่งผ่าน บันไดหรือทางลาดต้องมีวัสดุกันลื่น
50. การจัดเก็บวัสดุที่มีลักษณะเป็นกล่อง ควรทำอย่างไร
ตอบ 1.วางกล่องบนยกพื้นหรือตะแกรงเพื่อป้องกันความเปียกชื้นบริเวณก้นกล่อง
2.ใช้กระดาษวางคั่นระหว่างชั้นของกล่องที่วางซ้อนกันเพื่อกันน้ำหนักที่ขอบและการเลื่อนล้ม
3.ถ้ามีลวดผูกมัดกล่อง อย่าให้มีส่วนแหลมคมยื่นออกมาในช่องทางเดิน
51. การจัดเก็บวัสดุที่มีลักษณะเป็นท่อ/แท่งยาว ควรทำอย่างไร
ตอบ 1.วางวัสดุเหล่านั้นเป็นชั้นๆมีแผ่นไม้บางๆรองและที่ปลายแผ่นไม้มีแผ่นไม้บังคับไม่ให้เลื่อนออก(stopper)
2.วางทับซ้อนกันเป็นชั้นๆรูปปิระมิดอยู่บนแผ่นไม้
3.ถ้ามีชั้นวางต้องให้เอียงไปด้านหลังป้องกัยเลื่อนไหลออกมา
52. การจัดเก็บวัสดุที่มีลักษณะเป็นแผ่น ควรทำอย่างไร
ตอบ 1.ใส่ถุงมือหนังยกด้วยแรงคน
2.มัดแผ่นโลหะเข้าด้วยกันและยกด้วยรถยก
3.ใช้แผ่นไม้กั้นแยกแผ่นโลหะที่วางตั้งแบบเอียงเพื่อกัยเลื่อนและสะดวกในการยก
53. การจัดเก็บของเหลวบรรจุในถังและก๊าซ ควรทำอย่างไร
ตอบ 1.ของเหลวบรรจุในถัง
- ถังบรรจุของเหลวที่เป็นอันตรายควรตั้งภายนอกโรงงานหรือห้องใต้ดิน
- ถ้าเก็บห้องใต้ดินจะต้องมีบริเวณกว้างขวาง มีการระบายอากาศดี
- ผู้ปฏิบัติงานต้องใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากาก ถุงมือ
- มีการตรวจการรั่วซึมเป็นระยะ ถ้าของเหลวมีไอระเหยต้องมีท่อหายใจต่อไว้
- การบรรจุ-ถ่ายของเหลวต้องทำที่ด้านบนของถังเสมอ
2.ก๊าซ
- เก็บโดยตั้งยืนและผูกล่ามกับเสาหรือสีงอื่นๆที่มั่นคง
- แยกเก็บถังเปล่ากับถังก๊าซคนละที่
- เคลื่อนย้ายถังด้วยความระวัง อย่าใช้ถังเป็นล้อเลื่อนสำหรับวัสดุอื่น ห้ามลาก ห้ามใช้แม่เหล็กยกถัง เคลื่อนย้ายในเส้นทางที่ไม่ก่อให้เกิดการสะเทือนกระแทก การเคลื่อนย้ายด้วยรถเข็นที่มีโครงต้องใช้โซ่ล่ามติดกับโครงรถและมีฝาครอบปิดหัวถัง
54. ไฟฟ้ามี่กี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 2 ชนิด คือ
1.ไฟฟ้าสถิต
2.ไฟฟ้ากระแส
2.1.กระแสตรง เช่น แบตเตอรี่อิเลคตรอนจะเดินทางจากขั้วลบไปขั้วบวกในทิศทางเดียวเสมอ
2.2.กระแสสลับ มีกระแสขั้วลบและบวกตลอดเวลา เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า จาก ก๊าซ ไอน้ำ ถ่านหิน น้ำมัน
55. อันตรายจากไฟฟ้าที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและร่างกายมนุษย์ ได้แก่
ตอบ 1.กระแสไฟฟ้าผ่านร่างกายลงดิน พบมากที่สุดถึงกว่าร้อยละ 90
2.ร่างกายต่อเป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้า ไม่ลงดินร่างกายจึงเป็นเหมือนกับอุปกรณ์ไฟฟ้าเช่นหลอดไฟ ทำลายอวัยวะภายใน
3.กระแสไฟฟ้าลัดวงจร เกิดเสียงและประกายไฟที่มีความเข้มและความร้อนมาก เกิดอันตราย 3 ชนิดต่อมนุษย์ คือ 1.อันตรายจากแสงจ้าทำลายดวงตา หรือเศษโลหะกระเด็นใส่ 2.อันตรายจากความร้อนทำให้เกิดแผลไหม้ลักษณะแห้งลึก 3.อันตรายจากไอควันโลหะ จากสายไฟหรือฟิวส์ เป็นไอของทองแดง เงิน ตะกั่ว
56. ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความรุนแรงของการประสบอันตรายจากไฟฟ้า คือ
ตอบ 1.ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านร่างกาย อันตรายถึงเสียชีวิตเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจกระตุก เต้นถี่รัว การหดตัวแต่ละด้านของผนังหัวใจจะไม่สัมพันธ์กัน ประสาทส่วนกลางถูกทำลายอย่างรุนแรง หัวใจหยุดเต้นทันที เช่นต่ำกว่า 0.5มล.แอมป์จะไม่รู้สึก , 0.5-2.0 มล.แอมป์จะจั๊กจี้หรือกระตุกเล็กน้อย , 50-100 มล.แอมป์ มีผลต่อระบบประสาท หัวใจ,สูงกว่า100 มล.แอมป์ หัวใจหยุดเต้น ผิวไหม้ กล้ามเนื้อไม่ทำงาน
2.ระยะเวลาที่สัมผัสหรือระยะเวลาที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 100 มล.แอมป์นานกว่า 3 วินาทีจะตาย 1000มล.แอมป์นานกว่า 0.03 วินาทีจะตาย
3.แรงดันไฟฟ้า มากกว่า 240 โวลต์จะทำให้ผิวหนังทะลุ คนส่วนใหญ่ประสบอันตรายที่ 110 - 400 โวลต์
4.ความต้านทานของร่างกายต่อไฟฟ้า
5.ความถี่ของแรงดันไฟฟ้า
6.เส้นทางหรืออวัยวะภายในร่างกายที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
57. ผลอันตรายที่เกิดกับร่างกายมนุษย์เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย คือ
ตอบ 1.กล้ามเนื้อกระตุกหรือหดตัว
2.หัวใจเกิดอาการเต้นรัว ถี่รัวหรือเต้นกระตุก
3.ระบบประสาทเกิดอาการชะงักงัน
4.หัวใจหยุดทำงานทันที
5.เซลล์ในร่างกายเสียหรือตาย
6.เนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆในร่างกายถูกทำลาย
58. อุบัติเหตุจากไฟฟ้าในสถานประกอบการ ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ 1.อุบัติเหตุจากไฟฟ้าทำให้เกิดเพลิงไหม้
2.อุบัติเหตุจากไฟฟ้าแรงดันสูง
3.อุบัติเหตุจากไฟฟ้าแรงดันต่ำ
59. หลักการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า ได้แก่
ตอบ 1.การป้องกันการถูกหรือสัมผัสโดยตรง เป็นการป้องกันไม่ให้ส่วนใดของร่างกายสัมผัส/เป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้าลงดิน
2.การป้องกันการถูกหรือสัมผัสโดยอ้อม มีการป้องกันจากการใช้กระแส/แรงดันเกินขนาด หรือมีอุปกรณ์ตัดวงจรอัติโนมัติ
3.การกำหนดมาตรการป้องกัน และควบคุมทางกฏหมาย ข้อบังคับ หรือระเบียบการทำงาน
60. วิธีป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า ทำได้อย่างไร
ตอบ 1.การเรียนรู้ทฤษฎีและอันตรายจากไฟฟ้า
2.การเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ปลอดภัย
3.การติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าตามหลักความปลอดภัย เช่น ต่อลงดิน มีอุปกรณ์ตัดวงจรอัติโนมัติ มีฉนวน มีมาตรฐานการต่อลงดินค่าความต้านทานไฟฟ้าต้องต่ำที่สุด ตามมาตรฐานต้องไม่เกิน 25 โอห์ม ตอกลงลึกอย่างน้อย 2.4 ม.
4.การใช้เครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยถูกวิธี
5.การใช้ป้ายเตือน
6.การซ่อมบำรุงและตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าสม่ำเสมอ
7.กำหนดกฏเกณฑ์สำหรับผู้ปฏิบัติงาน เช่น ต้องปลดสวิตช์และฟิวส์ก่อนทำงานเสมอ
61. การประสบอันตรายมักเกิดขึ้นกับบุคคลประเภทใด
ตอบ - สถานที่ทำงานใหม่ - ผู้ปฏิบัติงานอ่อนวัย - เพศของผู้ปฏิบัติงาน
- ผู้ปฏิบัติงานใหม่ผู้มีอายุงานน้อยกว่า 1ปีมีโอกาสเกิดอันตรายเป็น 2 เท่าของพวกทำงานมาแล้ว 1 - 4 ปี
62. ความสำคัญในการจัดการความปลอดภัยในสำนักงานคือ
ตอบ - เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดความถี่ในการเกิด - เพื่อบำรุงขวัญและกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน
- เพื่อลดค่าใช้จ่าย - เพื่อชื่อเสียงของสำนักงาน
63. ปัจจัยของการเกิดอุบัติเหตุในสำนักงาน มีอะไรบ้าง
ตอบ 1.กลุ่มสาเหตุที่ 1 เป็นปัจจัยร่วม สาเหตุจูงใจและสาเหตุโดยตรงของการเกิดอุบัติเหตุได้แก่ พื้นฐานบุคคลเช่น ตกใจง่าย ตอบสนองช้า , สิ่งแวดล้อมทางสังคม เช่น แสงสว่างน้อย บรรยากาศทำงานไม่ดี, ระบบงาน เช่น ไม่มีการสอน ไม่มีกฎ
2.กลุ่มสาเหตุที่ 2 เป็นสาเหตุร่วมหรือจูงใจให้เกิดอุบัติเหตุความบกพร่องของบุคคล , การขาดความรู้ความชำนาญ , ความผิดปกติทางร่างกาย-จิตใจ , มีทัศนคติที่ไม่ปลอดภัย
3.กลุ่มสาเหตุที่ 3 เป็นสาเหตุโดยตรงจากการกระทำที่ไม่ปลอดภัย และสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย เช่น ยกของผิดวิธี , ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน-ประสิทธิภาพต่ำ , ใช้เครื่องมือไม่ถูกต้อง , เล่น , การจัดเก็บไม่ดี, ไม่แก้ไข
ควบคุม กำจัด
64. การจัดสภาพแวดล้อมในการทำงาน มีอะไรบ้าง
ตอบ 1.แสงสว่าง ต้องจัดให้เหมาะสมกับลักษณะงานในสำนักงาน กระจายทั่วถึง ไม่มีเงามืด ตามมาตรฐานความเข้มของแสงสว่าง เช่นเขียนแผนที่ใช้ความสว่างต่ำสุด 200 แรงเทียน , ทำบัญชี ตาราง 150 แรงเทียน อ่านหนังสือทั่วไป 30-50 แรงเทียน
2.เสียง
- เสียงไม่รบกวนเช่น เพลงเบาๆ
- เสียงรบกวน เช่น เสียงคุย เสียงปิดเปิดประตู เสียงโทรศัพท์ เครื่องจักร อาจใช้วัสดุซับเสียงทำพื้น ห้อง เพดาน หรือแยกแหล่งกำเนิดเสียงออกไปอยู่ห้องต่างหาก
3.การระบายอากาศ อากาศที่เหมาะสมกับร่างกายคือ 22 ซ0 ความชื้นร้อยละ 40 - 60 ของอากาศ และมีปริมาณอากาศไหลเวียนประมาณ 2000 ลบ.ฟ. / ชม
65. การวางแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยในสำนักงาน มีอะไรบ้าง
ตอบ 1.การเตรียมทางหนีไฟ (ทำตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง)
2.การสำรวจสิ่งที่อาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้และสิ่งเกื้อกูลการดับเพลิงในสำนักงาน
3.การวางแผนฉุกเฉินเมื่อเกิดเพลิงไหม้
4.เครื่องดับเพลิง เมื่อเกิดเพลิงไหม้ควรเปิดสัญญาณเตือนภัยทุกครั้ง, กระตุ้นให้ผู้ปฏิบัตืงานคนอื่นรู้ตัว, เลือกใช้อุปกรณ์ดับเพลิงให้เหมาะสม
5.ข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัยในสำนักงาน เช่น ที่เขี่ยบุหรี่ หรือการห้ามสูบบุหรี่ในบริเวณที่ห้าม
6.การวางแผนในกรณีฉุกเฉิน emergency plan
66. ข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในสำนักงานที่สำคัญมากๆได้แก่
ตอบ ข้อบังคับพฤติกรรมการทำงานให้ระวังอุบัติเหตุที่เกิดบ่อยๆ ได้แก่การลื่นและพลัดตกหกล้ม เก้าอี้ล้ม การใช้ตู้เอกสารโต๊ะ การเก็บวัสดุและกองเอกสาร
การลื่นและพลัดตกหกล้มพบมากสุด ป้องกันเช่น ไม่วิ่ง ให้เดินชิดซ้าย ไม่ยืนหน้าประตูและอยู่ห่างรัศมีการเปิดประตู ไม่ยกของสูงที่เกินระดับสายตา ไม่ควรยกของด้วยมือ 2 ข้าง อีกข้างควรจับบันได เก็บกวาดพื้นให้สะอาด
67. อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลมีความสำคัญอย่างไร
ตอบ 1.ใช้ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอุบัติเหตุขณะทำงานเนื่องจากไม่สามารถปรับสภาพแวดล้อมที่ทำงานให้เหมาะสมได้
2.ช่วยป้องกันอันตรายโดยตรงจากการทำงานนั้นเช่น ฝุ่น เคมี ที่สูง ความร้อนรังสี
3.เป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันหรือหยุดยั้งอันตรายที่อาจเกิดกับผู้ปฏิบัติงาน
68. ประเภทของ PPE ได้แก่
ตอบ 1.อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ 5.อุปกรณ์ป้องกันมือและแขน
2.อุปกรณ์ป้องกันหน้าและดวงตา 6.อุปกรณ์ป้องกันเท้า
3.อุปกรณ์ป้องกันระบบการได้ยิน 7.อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูง
4.อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ 8.อุปกรณ์ป้องกันเฉพาะงาน เช่น กันความร้อน กันติดไฟ กันสารเคมี
69. หลักเกณฑ์การใช้อุปกรณ์ PPE ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ 1.ใช้ให้ถูกกับชนิดของอันตราย 6.จัดให้มีปริมาณเพียงพอกับผู้ใช้
2.ต้องมีการสอนหรืออบรมการใช้ 7.เมื่อชำรุดต้องเปลี่ยนใหม่หรือซ่อมแซม
3.มีแผนการใช้เพื่อให้เกิดความเคยชินในการใช้ 8.มีการทำความสะอาดเป็นประจำ
4.มีแผนชักจูงและส่งเสริมการใช้ 9.มีการตรวจสอบและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง
5.มีการกำหนดกฏระเบียบข้อบังคับในการใช้โดยยึดตามกฏหมายกำหนด
70. ข้อจำกัดในการใช้อุปกรณ์ PPE ได้แก่
ตอบ 1.เป็นการใช้ชั่วคราวในระหว่างรอการแก้ไขงาน
2.ผู้ใส่ไม่คุ้นเคย รำคาญ
3.ใช้งานสั้นๆหรือเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น งานที่อับอากาศ
4.ใช้ควบคู่กับการป้องกันอันตรายวิธีอื่นเช่น ใช้การระบายอากาศควบคุมการฟุ้งกระจายของเคมีซี่งยังอยู่ในเกณฑ์อันตราย
5.อุปกรณ์ป้องกันการได้ยินและป้องกันระบบหายใจทำให้การติดต่อสื่อสารทำลำบาก
71. การใช้อุปกรณ์ PPE ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดนั้นต้องมีการบริหารจัดการเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เหมาะสม ซึ่งควรดำเนินการโดย
ตอบ 1.การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับอุปกรณ์ PPE มีการกำหนดระเบียบข้อบังคับ
2.กำหนดผู้รับผิดชอบ
3.การเลือกประเภทหรือชนิดอุปกรณ์ป้องกัน
4.การฝึกอบรมให้มีการใช้อุปกรณ์ป้องกัน
5.การควบคุมดูแลให้มีการใช้งาน
6.การตรวจสอบ บำรุงรักษา ทำความสะอาด
7.การจัดหาและควบคุมการเบิกจ่าย
8.การติดตามประเมินผลของการใช้อุปกรณ์ป้องกัน
9.การประเมินทางการแพทย์เพื่อประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน เช่น ทดสอบการทำงานของปอด การได้ยิน
72. WHO คืออะไร
ตอบ การป้องกันโรคโดยการควบคุม หรือกำจัดปัจจัยภาวะแวดล้อมที่ผิดสุขลักษณะ ที่อาจนำโรคมาสู่มนุษย์ได้การสุขาภิบาลในสถานประกอบการ = การควบคุมดูแลความสะอาดเรียบร้อยต่างๆในสถานประกอบการ ให้ปราศจากสิ่งสกปรก แหล่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายของโรค ตลอดจนอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงาน
73. งานสุขาภิบาลในสถานประกอบการมีความสำคัญอย่างไร
ตอบ 1.ลดอัตราการป่วย การตาย เนื่องจากโรคติดต่อให้น้อยลง จากสิ่งปฏิกูลที่อาจปนเปื้อนกับน้ำ-อาหาร
2.ลดอัตราการเจ็บป่วย พิการ อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ
3.ลดปัญหามลภาวะสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ จากสารพิษ-แก๊ซพิษที่ปนเปื้อนในน้ำ-ดินและอากาศ
4.ลดรายจ่ายที่ต้องสูญเสียโดยไม่จำเป็น ผลผลิตเพิ่มขึ้นและเศรษกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้น
74. งานสุขาภิบาลในสถานประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญทางด้านใด
ตอบ 1.การจัดสภาพแวดล้อมทางด้านความร้อน แสง เสียง ความสั่นสะเทือนและการระบายอากาศ
2.การกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล
3.การบำบัดน้ำทิ้งและอากาศเสีย
4.การควบคุมแมลงและสัตว์นำโรค
5.การจัดบริการน้ำดื่ม น้ำใช้ ห้องส้วม ห้องน้ำ
6.อื่นๆ เช่น การสุขาภิบาลโรงอาหาร การสุขาภิบาลหอพัก
75. กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับงานสุขาภิบาล ได้แก่
ตอบ 1.พรบ.โรงงาน พ.ศ.2512
2.ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เม.ย.2515
3.พรบ.สาธารณสุข ฉบับที่ 1 - 5 (พ.ศ.2481 - พ.ศ. 2527)
4.พรบ.รักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2503
5 มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับงานสุขาภิบาลในสถานประกอบการ
76. การจัดสภาพแวดล้อมในสถานประกอบการให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน
ตอบ 1.แสง – แสงธรรมชาติ
- แสงประดิษฐ์ - ประเภทใช้สารเรืองแสง flourescent เหมาะกับการใช้งานกว้าง ประสิทธิภาพดีกว่าหลอดไส้ 4 เท่า อายุใช้งานนานกว่า 10 เท่า
- หลอดไส้ ใช้ขดลวดทังสเตน อายุใช้งาน 1000 - 2000 ชม.
- หลอดไอโลหะ ให้กำลังแสงสว่างมากความละเอียดธรรมดาใช้ประมาณ 100 ลักซ์ความละเอียดสูงใช้ประมาณ1000 ลักซ์
2.เสียง อันตรายของเสียงเกิดจากองค์ประกอบ
1.ความถี่ ความถี่ที่มนุษย์ได้ยิน 16 -16000 ความถี่และความดังบางช่วงก่ออันตรายเช่น 200-1500 Hz ความดัง 13 dBฟังนานๆจะคลื่นไส้ เวียนหัว กล้ามเนื้อสั่น
2.ความดังใช้สเกล A ซึ่งเป็นผลทดลองในคนและสัตว์ ถ้าดังเกิน13 dBA การบีบตัวย่อยอาหารของลำไส้จะลดลง37% ท้องเฟ้อ
3.ช่วงเวลาการได้รับ 90 dBA สำหรับ 8 ชม. แต่ปกติไม่ควรเกิน 85 dBA
4.คุณภาพของเสียง เช่น ความสม่ำเสมอ ความต่อเนื่องการป้องกัน
1.ป้องกันที่ต้นเสียง 2.ป้องกันที่ทางผ่าน 3.ป้องกันที่ตัวบุคคล
3.การระบายอากาศ ต้องคำนึงถึงปริมาณออกซิเจน การไหลเวียนของอากาศ และกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นความสำคัญ ช่วยควบคุมความร้อน ความเย็น ความชื้นที่เหมาะกับร่างกาย , ช่วยควบคุมสิ่งปนเปื้อนในอากาศ , ช่วยป้องกันการฟุ้งกระจาย , ช่วยดักเก็บวัสดุที่ฟุ้งกระจายนำกลับมาใช้ใหม่ , ช่วยลดกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นตัว กลิ่นวีจากการทำงาน ,เพิ่มอ๊อกซิเจนและลดคาร์บอนไดออกไซด์ประเภท
1.การระบายอากาศทั่วไป ต้องคำนึงถึง
1.1.ปริมาณอากาศบริสุทธ์และปริมาณสิ่งปนเปื้อน
1.2.ต้องไม่มีไอพิษผ่านร่างกายเกินค่า TLV กำหนด
1.3.ระยะระหว่างแหล่งกำเนิดกับช่องดูดอากาศควรสั้นที่สุด
2.การระบายเฉพาะที่
2.1ใช้เครื่องมือเฉพาะที่เหมาะกับสารพิษปนเปื้อน เช่น ใช้เครื่องมือกรองแบกฝุ่นออกและผ่านสารทำละลายหรือดูดซับหรือเผาไหม้พิเศษ
2.2 ทิศทางการไหลและอัตราการระบายต้องเหมาะสม
77. การกำจัดขยะมูลฝอย ทำได้วิธีใดบ้าง
ตอบ 1.การกองกับพื้น dumping on land ถมในที่น้ำขังให้ย่อยสลายตามธรรมชาติ 3-5 ปี
2.การเผา incineration ที่ 676 -4100 ซ0 อาจเกิดปัญหาอากาศเมื่อเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถใช้กับสารเคมีบางชนิด
3.การหมักทำปุ๋ย composting ใช้ขบวนการทางชีวเคมีย่อยสลายเป็นฮิวมัส ใช้เวลา50- 150 วัน ต้องดูปริมาณคุณสมบัติทางกายภาพ เคมีที่ย่อยสลายสารอินทรีย์
4.การฝังกลบ ใช้ที่และเครื่องจักรกลมาก ใช้การอัดให้แน่น ใช้เวลาฝังกลบนาน ใช้กับสารพิษได้แต่ต้องคุมเรื่อง บริเวนชุมชนแหล่งน้ำ คุณสมบัติทางธรณีวิทยาของดิน
78. หลักการจัดความเป็นระเบียบสถานประกอบการ มีอะไรบ้าง
ตอบ - จัดให้มีระเบียบและปลอดภัย ขึ้นกับ ลักษณะ ชนิด รูปร่าง ปริมาณ ขนาดสภาพพี้นที่คุณสมบัติวัสดุ
- จัดเก็บวัสดุ-อุปกรณ์ให้คงอยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ตามปกติไม่เสื่อมหรือถูกทำลายจากความชื้น สัตว์..
- ง่ายต่อการตรวจสอบจำนวน และการบำรุงรักษา เช่น จัด...บห่อ เรียงเป็นชั้น แยกเป็ฯชิ้นย่อยๆเพื่อง่ายต่อการเก็บ
- ประหยัดค่าใช้จ่าย จากกั้นห้องเพิ่ม ทำหลังคา จัดระบบระบายอากาศ นำวัสดุเหลือใช้ไปขายเพื่อได้เงินและเพิ่มพื้นที่
79. แหล่งกำเนิดอัคคีภัยในโรงงานอุตสาหกรรม ได้แก่
ตอบ 1.อุปกรณ์ไฟฟ้า มากสุดถึงร้อยละ 23 7.การเชื่อมและตัดโลหะ
2.การสูบบุหรี่หรือการจุดไฟ 8.การลุกไหม้ด้วยตนเอง เช่น ถ่านหิน
3.ความเสียดทาน 9.เกิดจากการวางเพลิง
4.เครื่องทำความร้อน 10.ประกายไฟที่เกิดจากเครื่องจักร
5.วัตถุที่มีผิวร้อนจัด 11ไฟฟ้าสถิต
6.เตาเผาหรือเปลวเพลิงที่ไม่มีฝาครอบปิด 12.ปฏิกริยาของสารเคมีบางชนิด
13.โลหะหรือวัตถุหลอมเหลว
14.สภาพบรรยากาศมีสิ่งปนเปื้อนก่อให้เกิดการระเบิดได้ เช่น ฝุ่นผงหรือไอระเหย
80. โรงงานที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย ได้แก่
ตอบ 1.โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า 8.โรงงานทำเยื่อกระดาษและกระดาษ
2.โรงงานสิ่งทอ 9.โรงงานผลิตน้ำมันพืชหรือสัตว์
3.โรงงานขึ้นรูปพลาสติก 10.โรงงานทอกระสอบ
4.โรงงานผลิตยางรถยนต์ 11.โรงงานผลิตสารเคมีหรือโรงงานทำสี
5.โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ไม้ 12.โรงกลั่นน้ำมัน
6.โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ 13.โรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
7.โรงพิมพ์
81. ผลที่เกิดขึ้นจากอัคคีภัยมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.ผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากอัคคีภัย เกิดกับผู้ทำงานบาดเจ็บ เสียชีวิต เสียขวัญ เกิดความเสียหายกับอาคารสถานที่ เครื่องจักรเสียเวลาทำงาน ขาดรายได้จากการหยุดการผลิต เสียชื่อเสียง เสียต่อเศรษกิจโดยรวมเนื่องจากรัฐขาดรายได้และต้องจ่ายด้านสวัสดิการ
2.ผลที่เกิดขึ้นโดยอ้อมจากอัคคีภัย เสียลูกค้าถ้าส่งของไม่ทัน เพิ่มภาวะการทุนหรือซ่อมแซม เสียกำไรจากสินค้าที่ไหม้ไฟเสียเครดิตการร่วมลงทุน เสียเบี้ยประกันเพิ่ม เสียค่าใช่จ่ายคงที่เช่นเงินเดือนขณะหยุดงานผลิต เสียข้อมูลการบันทึกต่างๆที่ทำไว้ เสียค่าใช่จ่ายในการรื้อซากที่พัง เสียค่าประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์
82. อันตรายของอัคคีภัยที่มีต่อคน มีอะไรบ้าง
ตอบ 1.อันตรายเนื่องจากขาดอากาศและได้รับควันพิษ เสียชีวิตถึงร้อยละ 50 – 80
1.1.หมดสติเนื่องจากขาดออกซิเจน
1.2.หมดสติเนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าร่างกายรวมกับฮีโมโกบินในเลือดเกิดเป็น คาร์บอกซีฮีโมโกบิล
1.3.การหายใจเอาควันพิษหรือก๊าซอื่นๆเข้าร่างกาย จากการเผาไหม้สารต่างๆเกิดเป็นสารพิษ เช่น ก๊าซฟอจีน ไซยาไนต์
2.อันตรายเนื่องจากได้รับความร้อนสูง
2.1.การบาดเจ็บเนื่องจากความร้อน ระบบทางเดินหายใจและเยื่อบุจะจะถูกทำลาย พอง บวม ตีบตันทำให้หายใจไม่ออก
2.2.การถูกเผาไหม้
- ระดับ 1 first degree เป็นผื่นแดง ปวดพอง จะเป็นเฉพาะที่เยื่อบุชุ่มของผิวหนังชั้นบนสุดเท่านั้น
- ระดับ 2 มีการทำลายลึกลงไปถึงเนื้อเยื่อบางส่วนของเนื้อแท้เกิดเจ็บปวดส่วนที่พองบวม มีสีแดง มีน้ำเปียกชุ่ม
- ระดับ 3 มีการทำลายลึกลงถึงกล้ามเนื้อ ไขมันและเนื้อเยื่อของกระดูก มีอาการติดเชื้อ ทำให้ตาย ผิวหนังเป็นสีดำ
3.อันตรายเนื่องจากตกใจกลัว เช่น เกิดเหยียบกัน หรือขาดสติ กระโดดตึก
83. หลักการป้องกันการบาดเจ็บเนื่องจากอัคคีภัย ได้แก่
ตอบ 1.การติดตั้งสัญญาณเตือนภัย ให้เลือกอุปกรณ์ เช่นอุปกรณ์จับควัน / จับเปลวไฟ ควรเลือกจับควันมากกว่าเนื่องจากการเริ่มไหม้จะเกิดควันมาก ความร้อนยังไม่รุนแรง เลือกวิธีการตรวจจับเช่น วิธีการแตกตัวของสารรังสีหรือวิธีใช้ลำแสง และส่งเป็นสัญญาณเตือนออกไป การติดตั้ง ควรเลือกเป็นจุดอับ ถ้าจุดที่มีการระบายดี ลมอาจพัดทำให้เจือจางจนไม่สามารถจับควันได้
2.การหนีไฟ ต้องมีการอบรมและฝึกซ้อมเสมอ ต้องรู้จักการทดสอบผนัง-ประตูที่จะต้องผ่านว่าร้อนหรือไม่ปิดหน้าต่างไม่ให้อากาศเข้า การคลานหนีกลุ่มควัน ทราบจุดรวมพล
3.ทางหนีไฟ ต้องมีพร้อมและเพียงพอ มีป้ายบอกทิศทาง มีไฟฉุกเฉิน ห้ามใช้ลิฟต์
4.การเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิง ต้องเพียงพอและพร้อมใช้
5.อุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยหนีไฟ สำหรับอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อุตฯเคมี ต้องมีหน้ากากปิดหน้า ผ้าห่มกันไฟ
6.อุปกรณ์ปฐมพยาบาล
84. หลักทั่วไปในการควบคุมและป้องกันอัคคีภัย ได้แก่
ตอบ 1.การควบคุมป้องกันผู้ปฏิบัติงาน ต้องมีกฏระเบียบในการทำงานเฉพาะแต่ละงาน งานที่มีความเสี่ยงสูงควรมีระบบใบอนุญาต
2.การบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ให้มีสภาพดี พร้อมใช้ สะอาด มีการตรวจเช็คอุปกรณ์ทุกระบบรวมถึงระบบดับเพลิง
3.การดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย ให้จัดเก็บแยกหมวดหมู่แต่ละชนิดให้เหมาะสม มีป้ายเตือนห้ามชัดเจน มีอุปกรณ์ป้องกัน
4.การฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงาน ตั้งแต่เริ่มเข้า สร้างทัศนคติอบรมทั้งทฤษฎีและปฏิบัติและฝึกซ้อมเป็นระยะ
5.การประสานงานกับหน่วยงานภายนอก
85. การป้องกันอัคคีภัยที่เกิดในโรงงานอุตสาหกรรม ทำได้อย่างไร
ตอบ 1.แนวทางการป้องกัน ต้องรู้สภาพปัจจัยที่ก่อให้เกิดอัคคีภัย เช่น ชนิดและคุณสมบัติต่างๆของเชื้อเพลิงเช่น จุดวาบไฟ จุดติดไฟ ต้องกันแหล่งความร้อนจากการใช้ไฟหรือจุดติด เช่น การเชื่อม และแหล่งความร้อนจากแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้า เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ การใช้ไฟเกินขนาด การสันดาปเอง อุปกรณ์ที่มีความร้อนสูงๆ ประกายไฟ ไฟฟ้าสถิตย์แรงเสียดสีต้องเก็บในห้องที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ต้องกันไม่ให้มีอากาศหนุนช่วยการติดไฟ
2.แนวทางการลดความสูญเสียให้น้อยลง
- การจัดเจ้าหน้าที่เวรยาม
- การฝึกอบรม
- การจัดอุปกรณ์ในการดับเพลิง
86. ระบบป้องกันอัคคีภัยในสถานประกอบการ ระบบการป้องกันที่ดีมีกี่แบบ
ตอบ 2 แบบ คือ
1.แบบการป้องกันแบบต้านรับการเกิดอัคคีภัย passive defence
2.แบบระงับยับยั้งอัคคีภัย active defence
87. การจัดการจราจรและการขนส่งในสถานประกอบการหมายถึง
ตอบ การเคลื่อนย้ายวัสดุโดยวิธีใดก็ตาม ที่อยู่ภายใต้กฏ ระเบียบ และวินัย โดยให้วัสดุที่เคลื่อนย้ายนั้นถึงที่หมายตามกำหนดเวลาและปลอดภัยโดยมีการสูญเสียน้อยที่สุด
88. การจัดการจราจรและการขนส่งในสถานประกอบการมีความสำคัญอย่างไร
ตอบ 1.ทำให้วัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็ว
2.ทำให้การวางแผนล่วงหน้าได้ถูกต้องหรือใกล้เคียง เช่น แผนการผลิต
3.มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและปลอดภัย
4.สะดวกในการติดต่อธุระกิจ และทำให้ธุระกิจดำเนินการไปอย่างคล่องตัว
89. สถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการจราจรและขนส่งภายในมีกี่ประเภท
ตอบ 3 ประเภท คือ
1.โรงงานอุตสาหกรรม
2.คลังสินค้า
3.โรงงานที่มีคลังสินค้า
90. หลักการจัดการจราจรและการขนส่งในสถานประกอบการมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.การออกแบบการจัดระบบการจราจรควรคำนึงถึงข้อมูลที่สำคัญคือ
- ความกว้างของถนน ต้องกว้างพอสำหรับเดินรถทางเดียวหรือสองทาง มีไหล่ถนน มีทางเดินเท้า
- การจัดที่จอดรถ จัดให้เพียงพอ ตีเส้นจอดให้เห็นชัดเจน
- การจัดระบบเดินรถทางเดียวหรือสองทาง ตีเส้นกลางให้เห็นชัด มีป้ายบอกชัดเจนว่าเดินรถทางเดียวหรือสองทาง
2.การจัดให้มีเครื่องหมายและอุปกรณ์การจราจร เช่น กระจกนูน เส้นแบ่ง ป้ายบอกความเร็ว ความสูง ห้ามเลี้ยว ทำคันนูน
3.การควบคุมการจราจร ควบคุมการเข้า-ออก การแลกบัตร การติดบัตรที่รถและคน ตรวจสิ่งของเข้า-ออก รักษากฎจราจร
4.การอบรมเกี่ยวกับการจราจร
91. การกำหนดรูปแบบการจราจรและการขนส่งในสถานประกอบการขึ้นอยู่กับอะไร
ตอบ 1.ขนาดและเนื้อที่ของสถานประกอบการ
2.ระบบและการวางผังของสถานประกอบการ
3.รูปแบบการจัดการจราจรและขนส่ง
92. ลักษณะการทำงานเฉพาะกิจเป็นอย่างไร
ตอบ ต้องใช้ผู้ชำนาญเฉพาะทาง เป็นงานที่อาจมีอุบัติเหตุร้ายแรง เป็นการทำงานที่เจาะจงในงานบางประเภท เช่น งานใต้น้ำ งานเหมือง งานที่สูง งานในที่อับอากาศ
93. ขอบเขตการทำงานเฉพาะกิจแบ่งได้กี่กลุ่ม อะไรบ้าง
ตอบ 3 กลุ่ม คือ
1.การทำงานใต้น้ำ underwater operations น้ำตื้น shallow water diving หมายถึงมีความลึกน้อยกว่า35 ฟุต น้ำลึก deep sea diving หมายถึงมีความลึกมากกว่า 36 ฟุต และต้องพิจารณาสิ่งอื่นควบคู่ด้วย เช่น ภารกิจที่ทำ บริเวณที่จะปฏิบัติงาน ขอบเขต สภาวะอากาศ มี 6 ประเภทคือ
1.งานกู้เรือ 2.งานกู้ภัยเรือดำน้ำ 3.งานค้นหาและกู้ภัย 4.งานก่อสร้าง
5.งานตรวจและซ่อมแซม 6.อื่นๆ เช่น ทำแผนที่ใต้น้ำ
2.การทำงานในอากาศ aviation ในด้านการการทำงานเกี่ยวกับ
- การบิน(เช่น นักบินอาชีพ ลูกเรือ ผู้โดยสาร)
- กีฬาการบิน มีอันตรายจากรังสีความกดดันบรรยากาศที่น้อยทำให้ขาดอากาศหายใจ
3.การทำงานในที่อับอากาศ confined space เช่น ทำความสะอาดถังขนาดใหญ่ ใต้ท้องเรือ ช่างต่อ
เรือ ช่างสี
94. อันตรายจากการทำงานใต้น้ำ มีอะไรบ้าง
ตอบ 1.อันตรายขณะดำลงลึก จะสัมผัสความดันบรรยากาศสูงกว่าปกติ
- เยื่อแก้วหูทะลุเนื่องจากความดันหูชั้นนอกลดลง เลือดออกลูกตาและผิวหนัง ระคายเคื่องประสาทฟันกล้ามเนื้อทรวงอกถูกกดและถุงลมแตก
2.อันตรายขณะดำขึ้นผิวน้ำ จะสัมผัสความดันบรรยากาศที่ลดลงเฉียบพลัน
- การอุดตันด้วยฟองอากาศที่หลอดเลือด และการเกิดลมในอวัยวะต่างๆทำให้ถุงลมและเยื่อหุ้มปอดฉีกทำให้ เกิดผื่นแดง ช็อก เจ็บอก หายใจลำบาก
3.อันตรายจากพิษของ ไนโตรเจน , อ็อกซิเจน , คาร์บอนไดอ็อกไซด์ , คาร์บอนไดมอน็อกไซด์ , อันตรายจากการขาดออกซิเจน
95. อันตรายจากการทำงานในอากาศ มีอะไรบ้าง
ตอบ การเมาคลื่นอากาศ , การขาดอ๊อกซิเจนที่ความสูงเกินกว่า 30000 ฟุต , การเกิดฟองอากาศในกระแสเลือด , อันตรายจากกระแสลม , อันตรายจากอากาศไม่ถ่ายเท , อันตรายจากแสงจ้า , อันตรายจากแสงสว่างไม่พอ , อันตรายจากความเย็น ,อันตรายจากสารเคมีต่างๆ , อันตรายจากคาร์บอนมอนอกไซด์ , การเหนื่อยหมดกำลัง
96. อันตรายจากการทำงานในที่อับอากาศ มีอะไรบ้าง
ตอบ 1.การขาดอ๊อกซิเจน จากการเผาไหม้ เชื่อม ขบวนการหมักของแบคทีเรีย การแทนที่ของแก๊สอื่นๆเช่น ไนโตรเจน อาร์กอนการใช้อ๊อกซิเดชั่นเกิดสนิมเหล็กอาการ ง่วงซึม มึนงง มือสั่น ตามัว ปวดหัว กระตุก และอาจหมดสติ-ตาย
2.การได้รับสารพิษจากแก๊ซ ไอ ฝุ่นพิษ จากการใช้สารละลายทำความสะอาดและล้างไขมัน การเชื่อมหรือขัดโลหะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหืด
3.การได้รับการระคายเคือง(กัดกร่อน) เช่น คลอรีน กรด เบนซิน
4.การถูกความร้อนลวกหรือไหม้ผิวหนัง เช่นการตรวจ-ซ่อมแซมหม้อไอน้ำที่เย็นไม่สนิท
5.การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจากเฟือง ใบพัด นั่งร้าน การระเบิดขณะทำความสะอาดด้วยเครื่องมือไฟฟ้า
97. การประเมินอันตรายจากการทำงานเฉพาะกิจ ได้แก่
ตอบ 4.1.การคันหาเพื่อทราบอันตราย เช่น การใช้หลัก การวิเคราะห์งานเพื่อความปลอดภัย โดยเลือกงานที่จะวิเคราะห์แยกงานนั้นๆออกเป็นขั้นตอนต่างๆเพื่อหาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานในแต่ละขั้นตอน และกำหนดมาตรการป้องกันในแต่ละขั้นตอน
4.2.การประเมินเกี่ยวกับปัจจัยสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
- การทราบประเภทและอันตรายที่จะมีต่อสุขภาพอนามัย โดยการเดินสำรวจและสังเกต
- การตรวจระดับอันตราย เช่นครวจวัดระดับความดังเสียง ปริมาณฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย
- การเปรียบเทียบกับมาตรฐานหรือข้อแนะนำด้านวิชาการ ควรให้ทราบความสัมพันธ์ของสารที่ได้รับกับผลที่จะเกิดขึ้น
- การทราบความสัมพันธ์/ผลกระทบระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อมการทำงาน เพื่อกำหนดวิธีการ
ควบคุมป้องกัน
4.3.การให้ข้อเสนอแนะและหลักการป้องกันอันตรายจากการทำงานเฉพาะกิจ
- การควบคุมที่ต้นตอ source
- การควบคุมที่ทางผ่าน path
- การควบคุมที่ตัวบุคคล receiver
98. วิธีป้องกันอันตรายจากการทำงานใต้น้ำ มีวิธีใดบ้าง
ตอบ 1.มาตรการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม
- ควรเป็นงานที่ทำในความลึก 10 - 60 เมตร
- การทำงานทุกครั้งต้องมีหัวหน้าประดาน้ำ 1 คน ผู้ช่วยเท่าที่จำเป็นที่มีความรู้และแก้ไขอันตรายจากการประดาน้ำได้
- นายจ้างต้องจัดให้มีประดาน้ำ-อุปกรณ์ประดาน้ำ-ถังอากาศสำรองเพื่อใช้ในการช่วยเหลือ รวมถึงอุปกรณ์ปฐมพยาบาล
2.มาตรการควบคุมที่บุคคล
- มีอายุ 20-40 ปี
- ไม่อ้วน(ไขมันในร่างกายจะทำให้เกิดฟองอากาศง่าย) , ไม่เป็นโรคทางเดินหายใจ โรคปอด ไต หัวใจ หลอดเลือด
99. วิธีป้องกันอันตรายจากการทำงานในอากาศ มีวิธีใดบ้าง
ตอบ 1.มาตรการควบคุมที่สิ่งแวดล้อม เช่น การตรวจตราอุปกรณ์ให้พร้อมใช้เสมอ การดูข้อมูลสถิติและแนวโน้ม การสอบสวนหาสาเหตุที่อาจคุกคามสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย วิธีทำงาน ประเมินการบาดเจ็บ-เสียหาย
2.มาตรการควบคุมที่บุคคล เช่น การคัดเลือกบุคคลต้องยึดตามมาตรฐานคำสั่งพิเศษที่13/1789 ของกรมแพทย์ทหารอากาศ, การให้สุขศึกษาและการฝึกอบรม , การกำจัดเวลาทำงาน , การตรวจร่างกาย( คุณสมบัติต้องมีความกล้า มีสมรรถภาพร่างกาย-จิตใจและประสาทสัมผัสเหมาะสม ทนทานต่อการทำงานหนักใน
อากาศ)
100. วิธีป้องกันอันตรายจากการทำงานในที่อับอากาศ มีวิธีใดบ้าง
ตอบ -1.มาตรการความปลอดภัยที่ต้องปฏิบัติในการเข้าสู่ที่อับอากาศ
- ทำความสะอาดที่อับอากาศ เพือขจัดสารพิษ
- วัดความเข้มข้นของสารระเหย-แก๊ซ และอ๊อกซิเจน
- ปิดสวิทซ์ วาล์วที่เกี่ยวข้องทุกตัวและใส่กุญแจล็อก
- เป่าอากาศเพื่อไล่-เจือจางสารพิษ สารติดไฟ
- จัดอุปกรณ์ป้องกัน PPE สำหรับคนงาน และอุปกรณ์ช่วยหายใจให้พร้อมใช้
- หม้อน้ำและเตา ต้องปล่อยให้เย็นก่อน
-2.มาตรการความปลอดภัยที่ต้องปฏิบัติในขณะอยู่ในที่อับอากาศ
- ควรมีการระบายอากาศอย่างต่อเนื่องขณะทำงาน
- เครื่องมือ-อุปกรณ์ไฟฟ้าควรใช้แรงดันต่ำไม่เกิน 50 โวลท์ มีหม้อแปลงแยกต่างหาก
- ใช้เครื่องมือป้องกันการระเบิดถ้าพื้นที่อับอากาศมีบรรยากาศติดไฟไฟ้
- มีอุปกรณ์สื่อสารติดต่อ และเชือกหรือสายรัดนิรภัย
-3.มาตรการความปลอดภัยในการเตรียมรับเหตุฉุกเฉิน
- ขณะมีคนเข้าออก ต้องมีคนอยู่ข้างนอก 2 คนที่ผ่านการอบรมการกู้ภัย-ช่วยชีวิต
- ต้องเตรียมเครื่องช่วยหายใจชนิดจ่ายอากาศจากท่อหรือถังจ่าย
- ถ้าเห็นผู้อยู่ข้างในมีอาการผิดปกติต้องรีบนำออกมาทันที
101. การวางแผนฉุกเฉินภายในและภายนอกสถานประกอบการแบ่งได้กี่ระยะ อะไรบ้าง
ตอบ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะก่อนเกิดเหตุ ระยะเกิดเหตุ และระยะหลังเกิดเหตุ
102. เหตุฉุกเฉินหมายถึง
ตอบ เหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ในทันที่ทันใด ทำให้เกิดการเสียชีวิต บาดเจ็บ เกิดความเสียหานต่อทรัพย์สินหรือเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกสถานประกอบการด้วย
103. การวางแผนรับเหตุฉุกเฉินมีความสำคัญอย่างไร
ตอบ 1.สามารถช่วยผู้ตกอยู่ในอันตรายและรักษาชีวิตผู้ที่ปฏิบัติตามแผน มีการฝึกซ้อมแผนอพยพ การปฐมพยาบาลและเคลื่อนย้าย
2.จำกัดความเสียหายต่อทรัพย์สินและสิ่งแวดล้อม มีการออกแบบอาคาร ติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเหตุ และอุปกรณ์ควบคุมไว้อย่างเพียงพอ มีระบบการติดต่อสื่อสาร การซ้อมตามแผนเพื่อให้เกิดความเคยชินและคล่องตัว
3.สามารถค้นหาสาเหตุของเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มีความรู้และสามารถทำงานตรวจสอบสาเหตุร่วมกับเจ้าหน้าที่ราชการ ถ้าขาดความรู้จะล่าช้ากระทบต่อเวลาการผลิตหรือเกิดเหตุการเดิมซ้ำอีก
4.ช่วยปกป้องชื่อเสียงของสถานประกอบการ โดยกำหนดห้องนักข่าวและผู้ต้อนรับ-ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องจากคนๆเดียว
104. เหตุฉุกเฉินที่เกิดบ่อยมีกี่ประเภท
ตอบ 3 ประเภท มักเกิดจากการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต ทำให้เกิด
1.เพลิงไหม้พบมากกว่าการระเบิดและสารพิษรั่วเนื่องจากมีการใช่สารไวไฟในสถานประกอบการ
มาก
2.การระเบิด เกิดคลื่นแรงอัดดันหรือดัดกระแทกอย่างสูงจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ
ปฏิกิริยาของสาร
หรือการเผาไหม้
3.สารพิษหรือแก๊สพิษรั่ว
105. การประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุฉุกเฉินทำได้โดย
ตอบ 1.การประเมินจากปริมาณและชนิดของสารพิษ สารไวไฟ สารอันตราย ต้องไม่เกินขีดจำกัดที่กำหนด(ตัน)ตามตารางภาคผนวก 1 เป็นวิธีที่ใช้ในการประเมินอย่างรวดเร็ว
2.การวิเคราะห์อันตรายเบื้องต้น สะดวก รวดเร็ว ถูก เป็นการวิเคราะห์คาดคะเนเบื้องต้นของชนิดของเหตุฉุกเฉินที่คาดว่าจะเกิดและย้อนไปหาสาเหตุหรือปัจจัยที่เอื้อให้เกิดเหตุขึ้น และทบทวนข้อมูลที่มีอยู่ ตามขั้นตอนคือ หาเหตุฉุกเฉินคืออะไร อยู่ที่ระบบไหน สาเหตุที่จะนำไปสู่เหตุฉุกเฉิน และวิธีทำการป้องกันเพื่อความปลอดภัย
3.การวิเคราะห์โดยวิธีฮาซอพ ใช้ได้กับโรงงานขนาดเล็ก-ใหญ่และสลับซับซ้อนมากๆได้ทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ใช้คำชี้นำคือไม่ มากกว่า น้อยกว่า ไม่มี เช่นเดียวกัน บางส่วน ในทางกลับกัน ถูกแทนที่โดย ใช้คำเหล่านี้วิเคราะห์โครงสร้างและสรุปสาเห
106. การวางแผนรับเหตุฉุกเฉินภายในสถานประกอบการ ควรทำอย่างไร
ตอบ 1.ระยะก่อนเกิดเหตุฉุกเฉิน
- จัดเตรียมระบบความปลอดภัยของอาคารสถานที่ ทำตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างของอาคารสถานที่ เช่น มีอุปกรณ์ป้องกันมีทางหนีไฟ แยกพื้นที่จัดเก็บสารเคมี/ไวไฟ
- การจัดเตรียมระบบความปลอดภัยในการทำงาน โดยการกำหนดมาตรฐานหรือขั้นตอนในการทำงานการจัดระบบรักษาความปลอดภัย
- การจัดเตรียมศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน สำหรับบริหารสั่งการ ประสานงาน จะต้องเตรียมอุปกรณ์ทีจำเป็นให้พร้อมและเพียงพอโดยเฉพาะอุปกรณ์สื่อสารทีต้องใช้ติดต่อทั้งภายในและภายนอก
- การจัดตั้งองค์กรควบคุมเหตุฉุกเฉิน จำนวนต้องเหมาะกับขนาดของสถานประกอบการ ระบุบทบาทหน้าที่ของสายการบังคับบัญชาและสมาชิกให้ครอบคลุมทั้ง 3 ระยะ
- การสำรวจและเขียนแผนรับเหตุฉุกเฉิน เพื่อรวบรวมข้อมูลที่สำคัญในการว่งแผนช่วยชีวิตและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
2.ระยะเกิดเหตุฉุกเฉิน
ความสำเร็จในการหยุดเหตุไม่ให้ลามออกไปขึ้นกับการประสานงานของบุคคลากรทุกฝ่ายที่ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้
-การแจ้งเหตุฉุกเฉิน โดยผู้พบเห็นเหตุการณ์หรืออุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณ ไปที่ศูนย์ควบคุม
- การตอบรับการแจ้งเหตุและประกาศภาวะฉุกเฉิน และรายงานตามสายบังคับบัญชาเพื่อประเมินสถานการณ์
- การเรียกทีมปฏิบัติการเข้าปฏิบัติหน้าที่และโต้ตอบภาวะฉุกเฉิน
- การดำเนินการอพยพ
- การติดต่อขอความช่วยเหลือจากภายนอก เมื่อไม่สามารถควบคุมได้
3.ระยะหลังเกิดเหตุฉุกเฉิน
เมื่อเหตุการณ์สงบควรประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินเพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่าปลอดภัย จากนั้นทำการสอบสวนสาเหตุร่วมกับราชการให้ข่าวสื่อมวลชน ฟื้นฟูสภาพสถานประกอบการ
#คลิ๊กดูแนวข้อสอบราชการที่ www.โหลดแนวข้อสอบราชการ.com
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
โทร: 082-8551615 (คุณปาณิสรา)
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ )